ก่อนการเดินทาง: http://pantip.com/topic/33121210
ระหว่างทาง: http://pantip.com/topic/33127262
ระหว่างทาง 2: http://pantip.com/topic/33149718
หลังจากที่รถไฟ JR Special Rapid Service เทียบชานชาลาที่สถานี Shin-Osaka แล้ว เราก็เดินลากกระเป๋าพร้อมกับสอดส่ายสายตามองหาป้ายบอกทาง Subway Misudoji Line ไปด้วย ค่ำวันนั้นที่โอซาก้าฝนตกปรอยๆ ไม่ต่างจากที่เกียวโต เราสองคนจะต่อรถไฟใต้ดินไปยังสถานี Nishinagajima-Minamigata สถานีชื่อยาวที่อยู่ใกล้กับโรงแรม Hotel Consort ที่พวกเราจองไว้ ตลอด 3 คืนที่เหลือพวกเราจะพักที่นี่
จริงๆ แล้วจากสถานี Shin-Osaka สามารถเดินไปยังโรงแรม Hotel Consort ได้ จะใช้เวลาประมาณ 15 นาที แต่ที่เราเลือกนั่งรถไฟใต้ดินก็เพราะเราไม่รู้หมายเลยทางออกที่แน่นอน และตอนนั้นก็มืดแล้ว พวกเราไม่อยากหลงแบบที่ต้องลากกระเป๋าเดินไปมาแบบไม่รู้ทิศทาง แค่ในตัวสถานี Shin-Osaka ก็เดินกันจนเหนื่อยกว่าจะหาทางเข้าของ Subway Misudoji Line เจอ
ตอนที่ถึงสถานี Nishinagajima-Minamigata พวกเรารีบลากกระเป๋าเข้าลิฟท์ตามคุณลุงคนหนึ่งไปทันที แต่พอเข้าไปแล้วก็ถึงกับเหวอ เพราะมันมีแต่ภาษาญี่ปุ่น ตอนนั้นเราก็คิดในแง่ดีว่าคงจะไปออก Exit 2 ข้างล่างได้ แต่ปรากฏว่ามันเป็นทางออกคนละฝั่งและไม่สามารถเดินทะลุถึงกันได้ ถ้าจะเดินไปโรงแรมก็ต้องออกไปนอกสถานีก่อน ด้วยความที่ยังไม่คุ้นเคยกับเส้นทางพวกเราก็เลยจำใจลากกระเป๋าเข้าลิฟท์ขึ้นไปที่ชานชาลาเหมือนเดิม
ทางออกไปยังโรงแรม Hotel Consort จะเป็น Exit 2 ซึ่งยังไม่มีบันไดเลื่อน เพราะฉะนั้นเราต้องยกกระเป๋าลงบันไดด้วยตัวเอง เมื่อออกจากสถานีแล้วโรงแรมจะอยู่ด้านซ้ายมือ ส่วนด้านขวาจะเป็นร้าน Lawson แค่ข้ามถนนเราก็จะถึงหน้าโรงแรมเลย
ห้องพักที่พวกเราจองไว้เป็นแบบ Twin Bed ที่มีทั้งทีวี ตู้เย็น ไดร์เป่าผม และ Wi-Fi แต่ข้อเสียของที่นี่คือมีปลั๊กไฟแค่จุดเดียวเท่านั้น (เต้ารับ 2 ช่อง) ถ้าใครมีอุปกรณ์ที่ต้องชาร์จแบตเตอรรี่หลายอย่างอาจจะต้องพกปลั๊กพ่วงติดไปด้วย
ตามธรรมเนียมในการไปเที่ยวต่างประเทศของพวกเรา น้องที่ไปด้วยจะชอบหารายการทีวีท้องถิ่นดู แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อนๆ ที่ผ่านมา เพราะที่ญี่ปุ่นมีรายการพิเศษที่ทำให้พวกเราต้องกดเปลี่ยนช่องแทบไม่ทัน ที่แย่กว่านั้นคือมันอยู่ติดๆ กันถึง 3 ช่อง เป็นอะไรที่ทั้งช็อคทั้งขำในคราวเดียวกันจริงๆ
หลังจากที่จัดสัมภาระกันเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ออกไปเดินเล่นที่ย่าน Dotonbori วันนี้บัตรโดยสารรถไฟทุกประเภทเราจะใช้บัตร ICOCA ทั้งหมด จากสถานี Nishinagajima-Minamigata ไปยังสถานี Namba เราจะนั่ง Subway Misudoji Line (สายสีแดง) แบบเดียวกับที่มาจากสถานี Shin-Osaka
แต่ก่อนที่จะออกไปชมแสงสียามราตรีของโอซาก้าเราจะต้องไปซื้อบัตร Kansai Thru Pass ที่ Osaka Visitors' Information Center เสียก่อน จริงๆ แล้วจุดที่สะดวกที่สุดสำหรับเราน่าจะเป็นที่ Bus Information Center ที่สถานีเกียวโตมากกว่า แต่ว่าเราลืมสนิท มานึกได้อีกทีก็ตอนที่นั่งรถไฟมาโอซาก้าแล้ว
Osaka Visitors' Information Center จะอยู่ใน Information Center Namba ที่ชั้น 1F ของ Nankai Building ซึ่งเราก็จำไม่ได้ว่าตอนนั้นเดินไปถูกทางได้ยังไง เพราะเราไม่เห็นป้ายที่บอกว่าเป็น Nankai Building เลยซักอัน มารู้ตัวอีกทีก็มายืนอยู่ชั้น 1F ของอาคารที่ดูเหมือนห้างสรรพสินค้าทั่วไปแล้ว
แต่ที่เราจำได้แม่นก็คือพวกเราหา Osaka Visitors' Information Center ไม่เจอ เราสองคนวิ่งขึ้นลงบันไดและเดินวนอยู่เกือบสิบรอบ จนสุดท้ายก็ตัดสินใจเข้าไปถามเจ้าหน้าที่ที่ Nankai Station Service Center ที่ชั้น 2F เจ้าหน้าที่ก็บอกให้พวกเราลงมาที่ชั้น 1F เหมือนเดิม พร้อมกับบอกว่าให้รีบหน่อย เพราะ Osaka Visitors' Information Center จะปิดบริการตอน 2 ทุ่ม ซึ่งตอนนั้นก็เหลือเวลาอีกแค่ 10 นาทีเท่านั้น
เราสองคนวิ่งลงมาที่ชั้น 1F แต่ก็ยังหา Osaka Visitors' Information Center ไม่เจอ น้องที่ไปด้วยก็เลยไปถามพนักงานที่อยู่แถวนั้นอีกรอบ พนักงานคนนั้นก็บอกว่าไม่รู้จัก เรามีเวลาเหลืออีก 5 นาที ตอนนั้นเราเริ่มถอดใจแล้ว เพราะว่าหาอยู่เกือบครึ่งชั่วโมงก็ยังหาไม่เจอ พรุ่งนี้พวกเราอาจจะต้องปรับแผนการเดินทางกันใหม่
แล้วอยู่ดีๆ น้องที่ไปด้วยก็เงยหน้าไปเห็นป้าย Information Center Namba อยู่อีก(ครึ่ง)ชั้นเหนือจุดที่พวกเรายืน วิ่งเท่านั้นที่จะช่วยได้ พวกเรามาถึงหน้า Information Center Namba ตอน 19.57 น. เหนื่อยแล้วก็งงสุดๆ ว่าทำไมตอนแรกถึงหาไม่เจอทั้งที่พวกเราก็เดินผ่านบริเวณนี้อยู่หลายรอบ ข้อสังเกตอย่างหนึ่งของเราคือป้ายของที่นี่จะอยู่ลึกเข้าไปด้านใน ถ้ามองจากระยะไกลอาจจะเห็นได้ชัดเจนกว่าคนที่ยืนอยู่ด้านหน้า แต่เราก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมพวกเราถึงไม่ได้สังเกตลักษณะด้านในเลยนอกจากมองหาป้ายอย่างเดียว
(รูปมาจาก www.hostel64.com)
ถ้าใครจะไปใช้บริการ Information Center Namba ให้เดินไปทางเดียวกับ Nankai Namba Station แต่จุดสังเกตคือบันไดที่ไม่ใช่บันไดเลื่อน (แต่มีบันไดเลื่อนขนาบทั้ง 2 ข้าง งงล่ะสิ) ที่ชั้น 1F ถ้าเราหันหลังให้บันได Information Center Namba จะอยู่ด้านขวามือ
แม้ว่าพวกเราจะไปถึงก่อนเวลาปิดแค่ 2-3 นาทีเท่านั้น แต่เจ้าหน้าที่ก็ยังให้บริการด้วยรอยยิ้ม เราสองคนซื้อบัตร Kansai Thru Pass แบบ 2 วัน ราคา 4,000 เยน และก่อนที่จะจ่ายเงินเจ้าหน้าที่ได้ถามย้ำกับพวกเราเพื่อให้แน่ใจว่า พวกเรารู้แล้วว่าปราสาทฮิเมจิกำลังอยู่ระหว่างการปรับปรุงและจะสามารถเข้าชมได้เพียงบางส่วนเท่านั้น (จะเปิดให้ชมได้ทั้งหมดวันที่ 27 มีนาคม 2015)
เราสามารถใช้บัตร Kansai Thru Pass นั่งรถไฟใต้ดิน รถไฟของเอกชน และรถบัส (ที่มีสัญลักษณ์รูปแม่มด) ในเขตคันไซ (โอซาก้า เกียวโต โกเบ นารา วาคายาม่า และโคยาซัง) ได้ไม่จำกัดจำนวนเที่ยว ข้อดีของบัตร Kansai Thru Pass ก็คือเราไม่จำเป็นต้องใช้ต่อเนื่องกันทุกวันและสามารถเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ได้มากกว่าบัตร JR-West Rail Pass แต่ว่าอาจจะต้องเปลี่ยนรถไฟบ่อยกว่า สำหรับนักท่องเที่ยวที่จะซื้อบัตร Kansai Thru Pass จะต้องแสดงพาสปอร์ตก่อนซื้อ เพราะบัตรนี้สงวนสิทธิ์เฉพาะชาวต่างชาติที่มาท่องเที่ยวในญี่ปุ่นเท่านั้น ชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่นไม่สามารถซื้อได้ (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.surutto.com/tickets/kansai_thru_english.html)
เมื่อได้บัตร Kansai Thru Pass เรียบร้อยแล้ว เราสองคนก็ออกไปนอกตัวอาคารทางด้านหลังของ Information Center ก่อนจะเดินไปทางขวามือเพื่อข้ามถนนไปยัง Ebisubashi-suji Shopping Street ถนนที่เราสามารถเดินทะลุไปยังย่าน Dotonbori และ Shinsaibashi ได้ (http://www.ebisubashi.or.jp/OsakaTownMap_omote.pdf)
ในที่สุดก็ได้เวลาลั้นลากับกูลิโกะแมนซะที ตอนที่พวกเราไปป้ายกูลิโกะแมนเปลี่ยนเป็นเวอร์ชั่นใหม่เรียบร้อยแล้ว จากป้ายไฟนีออนก็กลายเป็นป้าย LED ที่สามารถเปลี่ยนฉากหลังจนดูเหมือนกูกิโกะแมนกำลังเคลื่อนไหวอยู่ได้ สำหรับฉากหลังก็มีตั้งแต่ลู่วิ่งที่เปลี่ยนสีได้ไปจนถึงสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ทั่วโลกรวมถึงวัดพระแก้วของไทยด้วย
และหลังจากที่ถ่ายรูปกันพอกรุบกริบแล้ว เราสองคนก็ไปตามล่าหาทาโกะยากิกันต่อ จากลายแทงของเพื่อนๆ ในพันทิปบอกว่าพอเจอร้านปูยักษ์ให้เดินตรงไป แต่ปรากฏว่ามันมีมากกว่าหนึ่งร้าน สุดท้ายพวกเราก็เลยเลือกร้านที่มีคนต่อแถวเยอะๆ ทั้งที่หิวแล้วก็เมื่อยมาก ตอนนั้นเกือบ 3 ทุ่มแล้วแถมฝนก็ยังตกปรอยๆ อีกด้วย
ร้านที่พวกเราต่อแถวจะอยู่กลางๆ ซอย (ด้านซ้ายมือ) ติดกับทางเดินที่สามารถเดินทะลุไปยังริมคลองได้ และฝั่งตรงข้ามก็เป็นร้านทาโกะยากิเหมือนกัน พวกเรายืนรออยู่เกือบครึ่งชั่วโมงก็ได้ทาโกะยากิมาลิ้มลอง ตอนแรกเราตั้งใจจะสั่งชุดใหญ่ แต่ก็นับว่ายังโชคดี เพราะมันไม่อร่อยเลย เนื้อแป้งนิ่มจนเละ เราได้ยินเสียงคนไทยที่นั่งข้างๆ บ่นว่าแป้งไม่สุกเหมือนกัน
พวกเราปิดท้ายค่ำคืนแรกที่โอซาก้าด้วยการไปสำรวจราคาของฝากที่ร้าน Don Quijote โดยที่ยังไม่ตัดสินใจซื้อ ก่อนจะกลับไปพักผ่อนที่โรงแรม พรุ่งนี้พวกเรามีโปรแกรมนั่งรถไฟออกนอกเมืองไปเที่ยวปราสาทฮิเมจิกันแต่เช้า
Facebook: https://www.facebook.com/TravelAndMyLife
ชื่อสินค้า: ญี่ปุ่น โกเบ โอซาก้า
คะแนน:
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
วันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น