ต้องบอกก่อนเลยว่า ผมสมัครไอดีมานานมากแล้ว แต่ไม่ค่อยได้โพสเท่าไหร่ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่โพสเรื่องท่องเที่ยวซะด้วย ซึ่งปกติก็เป็นแบ็คแพคเกอร์อยู่แล้วครับ แต่ไม่ค่อยได้มารีวิว เนื่องจากลองเขียนแล้วทำได้ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ แต่มาถึงโพสนี้อยากจะมาแชร์ประสบการณ์จากการ
“ไปเที่ยว...แบบไม่วางแผน”
คือผมเป็นคนชอบเที่ยวต่างประเทศ ส่วนใหญ่ก็ไปแต่ใกล้ๆ เน้นถูกๆ ใช้งบไม่เยอะ ก็จะมีเพื่อนคู่หูอีกคนที่เที่ยวด้วยกันประจำ ด้วยความที่ทำงานคนละที่ บวกกับงานยุ่งทั้งคู่ เวลาจองตั๋วก็ยุกันสนุก แต่พอได้ตั๋วมา ใกล้จะถึงวัน ต่างคนต่างเกี่ยงกันวางแผน จนทุกครั้งที่ไปเที่ยว ไม่เคยวางแผนเลย
คำว่าไม่ได้วางแผนในที่นี้ หมายถึง นอกจากตั๋วเครื่องบิน ไม่ว่าจะเป็นที่พัก ที่กิน ที่เที่ยวเราไม่มีการจองอะไรทั้งสิ้น และที่สำคัญสถานที่ท่องเที่ยว ก็รู้แต่ที่ดังๆ แต่ไปยังไง ก็ไปไม่เป็น ไม่มีแผนการ ไม่มีตารางเวลาใดๆ
ด้วยความที่ตอนเริ่มออกเที่ยวแรกๆ ไปมาตั้งหลายประเทศ ก็ทำแบบนี้มาเรื่อย มันก็ไม่เคยมีปัญหา เราเลยปล่อยเลยตามเลยมาตลอด
จนกระทั่งมาถึงปีนี้ ที่เพิ่งไปมาช่วงปลายๆเดือนกุมภาพันธ์ ก็แพลนกันว่าจะไปเที่ยวกันที่ประเทศสิงคโปร์ โดยบินไปลงหาดใหญ่แล้วต่อรถทัวร์ไปสิงคโปร์ ซึ่งต้องบอกก่อนว่าเราไปเที่ยวทางมาเลเซียและสิงคโปร์มาก่อนหน้านี้แล้วประเทศละ 2 ครั้ง ทำให้เราค่อนข้างชะล่าใจกับทริปนี้เป็นอย่างมาก ขนาดที่ว่าผมเก็บกระเป๋าตอนเช้าก่อนเดินทาง ส่วนเพื่อนดริงค์จนเช้าแล้วเดินทางต่อ
อ่านเหตุผลว่าทำไมเราต้องเดินทางไปลงหาดใหญ่ก่อนแล้วค่อยไปสิงคโปร์
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เนื่องจากพวกเราได้ทำการจองตั๋วกับสายการบินหนึ่งที่ชอบออกโปรบ่อยๆ ซึ่งเราจองตั๋วเส้นทางไว้แบบนี้
1.กรุงเทพฯ – สุราบายา
2.บาหลี – สิงคโปร์
3.กัวลาลัมเปอร์ – บรูไน (ไป-กลับ)
4.กัวลาลัมเปอร์ – โคตา คินาบาลู (ไป-กลับ)
5.กัวลาลัมเปอร์ – ย่างกุ้ง
6.ย่างกุ้ง – กรุงเทพ
เราจองตั๋วตอนที่มีโปร ทั้งหมดนี้อาจจะดูเยอะ แต่เราจองทั้งหมดด้วยเงินประมาณ 5 พันปลายๆเท่านั้น
แต่พอถึงเวลาจริงๆ เส้นทางสุราบายากลับถูกยกเลิกไปเมื่อกลางปีที่ผ่านมา ทำให้เราเคว้งคว้าง เมื่อทำเรื่องขอเงินคืนก็ได้แค่เส้นทางสุราบายา เพราะเส้นทางอื่นๆมันไม่ต่อเนื่อง (เพราะเราวางแผนการเดินทางทางบกด้วย) แต่สุดท้ายก็ดำเนินการจนได้เป็นเครดิตบนเว็บมาแทน
ซึ่งบังคับให้เราใช้มันจนได้ และผมก็ไม่อยากเสียตังค์เพิ่มอีกแล้ว เมื่อพิจารณาจากงบที่มีอยู่ก็ไปได้แค่ประเทศใกล้ๆ ซึ่งเราไปมาหมดแล้ว เราเลยเลือกสิงคโปร์ก็ถือซะว่าไปพักผ่อน แต่ว่าไป-กลับ เครดิตที่มีอยู่มันไม่พอ เลยเลือกขาไปลงหาดใหญ่ แล้วหารถทัวร์ต่อไปเอา เพื่อขากลับจะได้กลับจากสิงคโปร์ลงกรุงเทพ
ทั้งหมดก็เป็นไปด้วยประการฉะนี้
เรานัดเจอกันที่ดอนเมือง บินลงหาดใหญ่ด้วยใจมุ่งมั่น ลงเครื่องไม่รีรอ ต่อรถสองแถวเข้าเมืองเพื่อไปจองรถบัสไปสิงคโปร์ แต่เมื่อไปถึงบริษัททัวร์ของรถบัส ทุกอย่างทำเราฝันสลาย เมื่อพบว่าช่วงที่เรามามันคือ….
ตรุษจีน !!!!!
ซึ่งก็มีนักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์ มาเลเซียเดินทางเข้าออกกันด้วยรถบัสกันอย่างล้นหลาม และเมื่อสอบถามไปยังเจ้าหน้าที่ก็พบว่ารถบัสเต็มยาวไปถึงอีก 3-4 วันข้างหน้า ซึ่งแน่นอน เราอยู่นานขนาดนั้นไม่ได้ งานก็ต้องทำ แถมในมือก็มีตั๋วเครื่องบินกลับกรุงเทพจากสิงคโปร์อีกด้วย นั่นทำให้เราต้องไปที่นั่นให้ได้
“แย่แล้ว...ทำไงดีว่ะ”
ผมกับเพื่อนพูดวนกันอยู่อย่างนั้น พยายามหลอกตัวเองด้วยการเดินไปถามบริษัททัวร์อื่นๆ รอบหาดใหญ่ แต่ก็ได้ความว่าแต่ละบริษัทก็รับจองรถบัสคันเดียวกันทั้งนั้น นั่นหมายถึง ถามกี่ที่ ถ้าเต็ม ก็เต็มเหมือนกันหมด
ด้วยความที่พอจะมีประสบการณ์การเดินทางเส้นทางนี้อยู่บ้าง ก่อนหน้านี้อย่างที่ได้กล่าวไว้ เราเคยมาเลและสิงคโปร์ 2 รอบ รอบแรกนั่งเครื่องลง KL ไปมะละกาข้ามไปสิงคโปร์ รอบที่สองนั่งรถไฟสายบัตเตอร์เวอร์ธต่อด้วยไปเที่ยวปีนังแล้วนั่งเครื่องไปสิงคโปร์ เรารวบรวมสติ กลั่นประสบการณ์แล้วได้คำตอบว่า
“ไปบัตเตอร์เวอร์ธก่อนละกัน....”
คือเราพยายามจะไปให้ใกล้สิงคโปร์มากที่สุดเท่าที่เราทำได้ พยายามแบ่งเส้นทางเดินทางให้เราเคลื่อนไหวไปข้างหน้าตลอดเวลา เราไม่รอช้ารีบวิ่งหาบริษัททัวร์ จนได้รถตู้ที่จะเดินทางไปบัตเตอร์เวอร์ธ ใช้เวลานานมาก เนื่องจากรถติดในช่วงเทศกาลตรุษจีน เราออกจากหาดใหญ่บ่าย 3 ไปถึงบัตเตอร์เวอร์ธ 2 ทุ่ม หรือ 3 ทุ่มตามเวลาที่นุ้น ทั้งที่คนขายตั๋วบอกว่า 6 โมงก็ถึงแล้ววววว
ปัญหามันไม่จบแค่นั้นครับ รถตู้มาส่งที่ บขส. ของบัตเตอร์เวอร์ธ เรารีบเดินเข้าไปหาตั๋วเพื่อไปสิงคโปร์ ปรากฏว่าสภาพเดียวกันกับที่หาดใหญ่ครับ คือตั๋วเต็มยาวไปอีกหลายวัน ตอนนั้นคือเซ็งมากครับ กำลังคิดว่าจะหารถต่อไป KL , มะละกา หรือว่ายะโฮร์บาห์รูก่อนดี เพราะเราจะไม่นอนที่บัตเตอร์เวอร์ธแน่ๆ เพราะจะทำให้เสียเวลาเปล่าๆครับ ระหว่างที่เรากำลังรอ อยู่ดีๆก็มีชายแก่ๆ คนนึงมาถามเราว่า
"อยากไปสิงคโปร์ใช่ไหม?"
หน้าตาเรามีความหวังขึ้นมาทันที ยังกะแฮร์รี่ พอตเตอร์ได้เจอหน้าพ่อหน้าแม่ เราตอบแบบถามคืนข้ามขั้นไปเลยว่าคุณมีตั๋วใช่ไหม เขาบอกพาเราไปได้ ให้เดินตามมา เขาก็ขับมอไซค์นำทาง เรารีบวิ่งตามเลยทันที
จนไปหยุดที่รถบัสคันนึง เราก็โอเคดูแล้วไม่น่ามีอะไร แต่ปรากฏว่าไม่ใช่อย่างที่คิด ชายแก่คนนั้นเขาเดินไปเปิดห้องใต้ท้องรถ ใช่ครับ ใต้ท้องรถที่เป็นที่เก็บกระเป๋า บอกเราไปแบบนี้ได้ไหม ไม่งั้นไม่มีแล้ว ผมกับเพื่อนคิดนานมาก เพราะมันค่อนข้างลำบากและที่สำคัญเขาคิดราคาตั๋วแพงกว่าปกติด้วย เก็บคนละ 120 ริงกิต เพราะตอนแรกเราถามกับบริษัททัวร์ที่บัตเตอร์เวอร์ธเมื่อเรามาถึง ราคามันแค่ 88 ริงกิต แต่สุดท้ายยังไงก็ต้องเลือกที่นี่ครับ เพราะไม่มีที่ไป แล้วเราก็ต่อราคาลงมาได้ที่ 100 ริงกิต
สภาพภายใต้ท้องรถประมาณนี้ครับ คือไม่ได้เล็กเหมือนของไทย เหมือนเป็นห้องพักของคนขับรถด้วย แต่ทว่าพอเราขึ้นไป 2 คน สักพักก่อนรถออกก็มี คนขึ้นมาอีก 4 คน มีมอเตอร์ไซค์มาอีก 2 คัน เรียกได้ว่าอึดอัดเต็มขั้นเลยทีเดียว แถมเมื่อรถออกเดินทาง แอร์ที่ใต้ท้องรถนี่หนาวยังห้องเย็น และไม่สามารถปรับเพิ่ม-ลดแอร์ได้เลย
พยายามกลั้นใจให้หลับครับ สุดท้ายคนอื่นที่ใต้ท้องรถก็ทยอยลง มอเตอร์ไซค์ออกไปทีละคนจนหมด รถก็มาจอดที่วู้ดแลนด์ตรงด่านชายแดนมาเล-สิงคโปร์ และรถก็จะหยุดที่นี่ ทำให้เราลงไปทำเรื่องข้ามแดน หารถเข้าเมืองและเที่ยวได้จนจบทริปครับ
ประสบการณ์จากครั้งนี้สอนให้เรารู้เหมือนกันว่าการวางแผนในการท่องเที่ยวสำคัญแค่ไหน เลยอยากจะมาแชร์ให้เพื่อนๆพี่ๆน้องๆในพันธุ์ทิพย์ได้อ่านกันครับ และรูปภาพตอนลำบากไม่ค่อยมีนะครับ เพราะมันวุ่นวายมากจนไม่ได้ถ่ายรูป มีแต่รูปที่เดินทางไปถึง ซึ่งก็ไม่เยอะเช่นกัน เพราะนี่เป็นครั้งที่ 3 ของเราแล้วที่สิงคโปร์
ขอทิ้งท้ายด้วยภาพที่ฮาจิเลนนะครับ คราวหน้าผมจะขอมารีวิวแบบเต็มๆซักที
วันอังคารที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2558
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น