วันอาทิตย์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558


     หลังจากได้แอบอ่านกระทู้ของท่านอื่นๆ มานาน นี่เป็นการเขียนกระทู้แรกหากมีอะไรผิดพลาดก็ขออภัยไว้ ณ หัวกระทู้นี้ด้วยนะครับ ตัวผมเองเวลาได้เดินทางไปยังที่ต่างๆ ก็ชอบถ่ายภาพเก็บไว้ ด้วยอุปกรณ์ทุกอย่างที่มีซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นกล้องจากมือถือนี่แหละที่สะดวกที่สุด ชอบความรู้สึกตอนมาย้อนดูรูปมันทำให้ได้คิดถึงช่วงเวลาเหล่านั้น นี่ก็เป็นอีกครั้งที่ต้องเดินทางไปยังปลายทางที่ไม่เคยไปมาก่อน มีแค่ชื่อของมันที่ปักหมุดอยู่ในหัว

     ทริปนี้เกิดขึ้นโดยความบังเอิญ ซึ่งก็ดีเพราะคิดไว้นานแล้วว่าอยากไปดูสะพานไม้ที่นั่น มันเป็นการเดินทางในระยะทางไม่ไกลนักจากกรุงเทพฯ หลังจากที่เขียนใบลางานไว้ 1 วัน ทำให้ผมได้นอนตื่นสายโด่ง ซึ่งปกติไม่สามารถทำได้ในเช้าวันศุกร์ แงะตัวเองจากที่นอนมานั่งเก็บของกระจุ๊กกระจิ๊กอย่างใจเย็นแล้วเริ่มมัดใส่ท้ายรถ


     เกือบๆ สิบโมงครึ่ง แต่ก็รู้สึกเฉื่อยชา เพราะงานนี้ไปคนเดียวยิ่งรู้สึกสบายไปอีกแบบ ได้เวลาก็ออกจากบ้าน สองล้อหมุนออกไปช้าๆ ผมใช้เส้นทางราชพฤกษ์ตัดออกเส้นบรมราชนนี ถนนโล่งมาก…  ใช่สิวันนี้มันวันและเวลาที่ควรไปทำงานไม่ใช่เหรอ??

     และแล้วความระทึกก็บังเกิด หลังจากออกจากบ้านไม่ถึงห้ากิโล ไอ้สัมภาระเจ้ากรรมดันหลุดออกจากท้ายรถอันจุ๋มจิ๋ม ที่เบาะนั่งมีเนื้อที่เพียงแค่ให้แมวดิ้น ความรู้สึกแรกแว๊บขึ้นมาหลังจากขี่ๆ ไปก็เอามือลองคว้ากระเป๋าที่ผูกไว้แล้วพบกับความว่างเปล่า… ซวยละ??
     พอจอดรถเข้าข้างทาง...ทั้งก้อนครับ หายทั้งก้อน ชีวิตสามวันจะอยู่ได้เยี่ยงไร…. ที่สำคัญมันหล่นไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน  กลับรถๆ ไปหาดูเผื่อว่ายังอยู่  ความสนุกในหัวเริ่มหมดไป แทนที่ด้วยการขี่รถหาของ เริ่มรู้สึกเหนื่อย รับรู้ได้ถึงอากาศข้างนอกที่มีลมเย็นๆ โชยมาแผ่วๆ  แต่ในเสื้อแจ๊คเก็ตกลับมีแต่เหงื่อที่ไหลออกมายังกับพึ่งอาบน้ำแล้วยังไม่ได้เช็ดตัว  ขี่ย้อนศรกลับมาจนเกือบจะถึงทางแยกเข้าบ้านยังไม่เจอ ในใจคิดเลิกเหอะ ตัดใจ ฟาดเคราะห์ กลับบ้านนอน…  แต่อีกใจก็เห็นภาพของของข้างในที่พึ่งหยิบลงกระเป๋าไปไม่ถึงชั่วโมงก่อนหน้านี้ ไหนจะเลนส์กล้อง เครื่องไฟฟ้า งานที่อุตส่าห์แบกมาที่ไม่รู้ว่าจะเอาเวลาที่ไหนมานั่งทำ และความที่มีตัวกูของกูเยอะ เลยวนไปหาอีกรอบ สุดท้ายพระเจ้าก็เห็นใจเมื่อก้อนกระเป๋าของผมมันไปนอนอยู่บนเกาะกลางถนน คงมีคนขับรถเอาไปโยนไว้ให้ เพราะผมวิ่งซ้ายสุดแต่มันไปอยู่บนเกาะกลางคงไม่เด้งข้ามสามเลนไปได้แน่


     ...แต่ของข้างในล่ะ เอ่อ…ช๊อคแปล๊บ ช่างมันก่อนเอาไว้ลุ้นดูตอนแกะ มาดูตอนนี้เดี๋ยวมีหมดอารมณ์ไม่ได้ไปอีก มัดใหม่ๆ เอาให้แน่นๆ สติมาปัญญาเริ่มเกิด มัดเชือกกับเฟรมเลยดีกว่า หมดเวลาไปเกือบชั่วโมงกว่าจะได้เดินทางต่อ

     จากตลิ่งชันวิ่งออกมาเรื่อยๆ ไม่ขี่เร็วเพราะเข็ด ขี้เกียจมานั่งกลับไปหากระเป๋าอีก ผ่านนครชัยศรี นครปฐม ราชุรี ด้วยความที่ก่อนเดินทางนัดน้องคนหนึ่งที่สนิทกันไว้ว่าจะแวะไปหา ซึ่งเส้นทางที่เดินทางต้องผ่านบ้านเค้าอยู่แล้ว แต่ป่านนี้น้องมันคงรอแย่ ช้าไปสองชั่วโมง….แน่ะ


     จุดนัดพบหน้าวัดโกสินารายณ์ อำเภอลูกแก ไม่ถึงสิบนาทีหลังจากโทรหา  ด้วยความที่หิวมากจะเป็นลม เลยให้น้องพาไปร้านกินข้าวใกล้ๆ แล้วเราก็วิ่งลัดเลาะจากถนนใหญ่ข้ามสะพานเข้ามาไม่นานนักก็มาถึงร้านอาหารเล็กๆ ร้านนึงริมแม่น้ำแม่กลอง


     อาหารเริ่มทยอยมา หลังจากสั่งไป 4-5 อย่าง  ด้วยความที่มาสองคนเป็นชายสูงอายุ 1 คน และเด็กหญิงร่างเล็กบางอีก 1 คน แต่จานมันใหญ่เกินสำหรับกินกันสองคน ผมใช้เวลาครึ่งชัวโมงหมดไปกับภาชนะทรงกลมด้านหน้ามากกว่าที่จะได้คุยกับน้อง ที่ไม่ได้เจอกันมานานเกือบปี ปรากฏว่า จุกขึ้นคอ กินไม่หมดสักอย่าง ทั้งที่อาหารก็อร่อยทุกอย่าง ผมชอบหมูแดดเดียว กับส้มตำทอดมากๆ เสียดายแต่ก็ไม่รู้จะห่อไปกินต่อยังไง ใครผ่านมาเส้นอำเภอลูกแก ลองแวะมาทานดูนะครับ ชื่อร้านครัวเจ๊สมบัติ เปิด 9.00–20.00น.


     หลังจากล่ำรากันแล้ว ดูเวลาก็ปาเข้าไปบ่ายสองแล้ว ผมก็เริ่มการเดินทางอันโดดเดี่ยวอีกครั้งหนึ่ง เส้นทางตรงยาวๆ ที่ท้องอิ่มๆ มันทำให้อยากจะงีบหลับตามเสาหลักกิโลเอาให้ได้  ถ่างตาขี่สักพักหนึ่งก็มาถึงแยกแก่งเสี้ยน ปั๊มน้ำมันที่จะพบเจอเพื่อนฝูงคอเดียวกันได้ไม่ยาก จอดพักรถ เติมน้ำมัน ต่อจากนี้จะได้วิ่งยาวๆ โล่งๆ แล้วสลับโค้งสวยๆ ทำให้ลืมเรื่องก้อนกระเป๋าหล่นพื้นเมื่อเช้าไปซะแล้ว


     เวลาแห่งความสุขผ่านไปเหมือนโกหก แว๊บเดียวก็มาถึงไทรโยคแล้ว


     ที่พัก (จำเป็น) คืนนี้ของผม เป็นรีสอร์ทของเพื่อนสนิทอีกคนที่มีกิจการของทางบ้านที่ทำธุรกิจที่พัก นี่เป็นครั้งที่สองของผมกับ The Riverkwai Paradise จากเมื่อสองปีที่แล้ว จริงๆ แค่จะผ่านแวะทักทาย แต่เพราะด้วยความที่เสียเวลาไปครึ่งวันแถมไม่ได้จองที่พักไว้บนสังขละบุรีตั้งแต่แรก ที่คิดได้ตอนนี้เลยพักที่นี่หนึ่งคืนแล้วพรุ่งนี้ค่อยตีขึ้นไปค้างสังขละบุรีดีกว่า ระยะทางจากที่พักขึ้นไปก็ไม่ไกล


     ที่นี่มีที่พักโซนบนแพติดแม่น้ำ และบนบก ตัวผมเลือกนอนด้านบนเพราะเอารถไปจอดไว้หน้าห้องได้เลย แต่ตอนนี้สิ่งที่ต้องการมากกว่าสิ่งใดคืออาบน้ำเย็นๆ เปิดแอร์ฉ่ำๆ หลังจากเปิดก้อนกระเป๋าที่ซ่อนความลับแต่เช้า… สภาพภายนอกที่ปรากฏร่องรอยของการสแครชไปกับพื้นถนน เลนส์ที่คิดว่ากลับบ้านเก่าแน่กลับไม่เป็นไร หวยกลับไปออกที่ Power Bank ที่พึ่งซื้อมารับเคราะห์ไปแทน กับของใช้ด้านในอีกบางส่วน หลังจากทิ้ง Power Bank ที่อุตส่าห์แบกมาลงถังขยะ อาบน้ำ แล้วไปสำรวจที่พักสักหน่อย


     สระว่ายน้ำด้านบน


     ด้วยความที่เป็นวันธรรมดาเลยไม่ค่อยมีคนหนาแน่นเท่าไหร่ และส่วนใหญ่จะเลือกพักในแพด้านล่าง เดินวนเวียนอยู่ด้านบนสักพักเกือบงีบหลับแถวริมสระ เพราะช่วงที่ไปอากาศยังคงเย็นอยู่พอพลบเย็นอากาศก็เริ่มเย็นสบายๆ





     บรรยากาศด้านล่างยิ่งเย็นกว่าข้างบนเพราะติดริมน้ำเป็นน้ำที่ไหลตลอดมันเลยใสมากๆ นั่งเอาขาจุ่มน้ำคิดอะไรไปเรื่อยๆ นี่แหละที่มันช่างคุ้มค่ากับที่เดินทางมาที่สุด พอเริ่มมืดหน่อยก็กินข้าวเย็น และมีมุมบาร์เล็กๆ สำหรับเครื่องดื่ม และมุมนั่งคุยกันหลังอาหาร ตกดึกที่นี่ค่อนข้างเงียบสงบ เหมาะสำหรับคนที่ชอบปลีกวิเวก นั่งคุยกันสักพักก็เข้าห้องจัดของเตรียมตัวเดินทางไปสังขละบุรีพรุ่งนี้


     วันนี้ตื่นเช้าด้วยอารมณ์ที่อยากจะสัมผัสอากาศบริสุทธิ์และไอหมอกก่อนที่แดดจะออก เลยเดินไปบนยอดสะพานเหนือที่พักดูวิวพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้า หลังจากลงมากินอาหารเช้า น้องก็บอกว่ามีทัวร์ล่องแพไปน้ำตกจะไปดูมั้ย?? ด้วยความที่ไม่ได้มีแผนอะไรมากนักสำหรับวันนี้ ก็ดีเหมือนกันไปล่องแพดีกว่า





     ผู้ร่วมทริปของผมเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวรัสเซีย แต่ละคนพร้อมมากไม่กลัวหนาว จัดเต็มกันมาสำหรับลงน้ำเต็มที่ทีเดียว แพออกจากท่าโดยมีเรือหางยาวลากตามน้ำไปเรื่อยๆ วิวสองข้างทางทำให้เห็นธรรมชาติและวิถีชีวิตชาวบ้านในชนบทริมน้ำ


     สักพักมีเสียง ตูมๆ พวกฝรั่งรัสเซียคงทนร้อนไม่ไหวโดดลงน้ำกันก่อนเป็นแถว ไกด์บอกว่าเดี๋ยวน้ำก็พาไหลตาแพมาเอง อยากลงมั้ย?? ผมเองก็ยังเลือกซุกตัวในเสื้อหนาวดูจะเหมาะกว่า



     ครึ่งชั่วโมงต่อมาแพก็มาหยุดที่หน้าธารน้ำตกเล็กๆ จุดหนึ่ง มีน้ำตกที่ไหลมาบนแพ แบบว่าไม่ต้องลงน้ำก็เปียกได้ เออ ดีเหมือนกันสำหรับคนว่ายน้ำไม่เป็นก็สนุกได้ ปล่อยให้เล่นน้ำกันสักพักแพก็ถูกลากมาริมฝั่ง มีรถของทางที่พักมาพากลับ

     เกือบสิบโมงครึ่งกว่าจะจัดการตัวเองเสร็จ ด้วยความโชคร้ายที่ซ่อนในความโชคร้ายอีกที ทำให้มีภารกิจด่วนที่ทำให้ไม่สามารถไปค้างคืนที่สังขละบุรีได้ แถมต้องกลับมาพักก่อนสี่โมงเย็น เท่ากับเหลือเวลาแค่ ห้าชั่วโมงกว่าๆ จะไปไหนดี ด้วยความที่อยากเห็นสะพานไม้สังขละมานานมาก แต่ก็จะมีอันไม่ได้ไปทุกครั้ง... สุดท้ายในเมื่อไม่ได้ไปพักขอให้แค่ไปให้มันถึงก็แล้วกัน สตาร์ทรถแล้วรีบไปดีกว่า


     ความที่ไม่ได้ไปพักสัมภาระเลยกองไว้ที่ห้อง เอาแต่ของที่จำเป็นใส่เป้ไปก็พอ ออกจากที่พักขี่มาประมาณ 40 km. ก็ถึงปั๊มน้ำมัน เติมเต็มถังไว้ก่อน เลยมาอีกนิดเจอแยกทองผาภูมิและเลี้ยวขวาไปสังขละบุรี อีกแค่ 70 กว่าโลเอง ในใจคิด เออ… ก็ไม่ไกลเลยนี่นา






     ทางจากช่วงนี้เปลี่ยนไปเป็นทางขึ้นเขาลงเขาตลอดเส้นทาง คนที่ไม่เคยมาอาจต้องขับขี่กันด้วยความระมัดระวัง เพราะมีถนนเสียเป็นช่วงๆ แถมในบางจุดมีซ่อมทาง แต่วิวสองข้างทางก็ดูเพลินตามาก


     เย... ถึงแล้ว


     วันนี้เป็นวันเสาร์ ทำให้ที่นี่มีคนมาท่องเที่ยวพอสมควร ผมมาถึงนี่ประมาณเที่ยงครึ่งแล้ว หาที่จอดเอาแบบใกล้ๆ สะพานและแบบปลอดภัยหน่อยเลยไปแหมะรถไว้ข้างร้านขนมจีน ตรงหัวสะพาน กินขนมจีนเค้าสักหน่อยเลยขอฝากจอดรถด้วย





     ช่างเป็นเที่ยงวันที่แดดแรงมากสะพานเลยเป็นของผมคนเดียว ที่บ้าหอบข้าวหอบของมาเดินสะพาน ขณะที่คนอื่นหามุมเย็นๆ ในร้านอาหารหลบร้อน แต่เดินไปถึงแค่กลางสะพานดูเวลาก็คงต้องกลับแล้วเพราะต้องเผื่อเวลาเดินทางกลับ
     
-ไว้มาต่อนะครับ-

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ประกาศนียบัตรชนะเลิศ การบริการยอดเยี่ยม Tripadvisor.com

Sample Text

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

VartikaAdventure Kuiburi

VartikaAdventure Kuiburi

VartKa Kuiburi

VartKa Kuiburi

Facebook Vartika Adventure Retreatic Resort

Facebook Vartika Resovilla Kuiburi

Popular Posts