วันเสาร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2558

สวัสดีค่ะเพื่อนๆ วันนี้ว่างๆก็เลยมาขอเล่าสู่กันฟังเกี่ยวประสบการณ์ที่ "สุดแสนจะสะพรึง" ขณะไปแบ็คแพ็คที่ยุโรปค่ะ
โดยเรื่องที่จะพูดถึงต่อไปนี้ เป็นประสบการณ์โดยตรงที่เกิดขึ้นกับตัวเองนะคะ ก็อยากจะให้เป็นข้อควรระวัง และการเตรียมตัวเตรียมใจ
สำหรับผู้หญิงทุกๆคนที่กำลังจะไปท่องโลกคนเดียว ยาวหน่อยนะคะ มาๆเริ่มกันเลยดีกว่า..



เหตุการณ์สุดสะพรึง (1)
เริ่มต้นที่ประเทศแรก นั่นคือ... “Some tourists think Amsterdam is a city of sin, but in truth it is a city of freedom. And in freedom, most people find sin.” ― John Green แม่นแล้วว The Netherlands

ประเทศเนเธอแลนด์ถือว่าเป็นประเทศในฝันของเราเลยค่ะ คิดตลอดว่าอยากจะไปเหยียบสักครั้งในชีวิต และแล้ววันนี้ก็มาถึง....
แต่เดี๋ยวๆ... มันมีลางสังหรณ์เบาๆว่าจะต้องโดดตม.กัก T____T ถูกค่ะ!! จัดไปเลย 2 ชั่วโมง ยืนขาแข็ง อธิบายจนปากเปียกปากแฉะ
นี่แค่เริ่มทริปก็เหนื่อยละค่ะ  (เราซื้อตั๋วเครื่องบินแบบ Multi-City นะคะ BKK-AMS // FCO-BKK แต่ถือวีซ่าของ Czech ค่ะ จำนวนคือ 90 วัน)

จนท.ตม.ตาฟ้า หน้าหล่อ ซัดคำถามมาจนตอบไม่ทันเลยค่ะ : คุณมาทำอะไร? ทำไมถึงมาประเทศนี้? มาคนเดียวหรอ? รู้จักใครที่นี่ไหม?
ทำไมถือวีซ่าเช็คละ? ไปทำอะไรที่เช็ค? ทำไมถึงอยู่นาน? แล้วคุณจะพักใน AMS กี่วัน? มีแพลนจะไปไหนบ้าง?
ไปไหนต่ออีก? อธิบายหน่อยจะไปไหนบ้างในประเทศนั้น? พักที่ไหน? ทำไมตั๋วกลับถึงเป็น FCO? ไปทำอะไรที่อิตาลี?
พกเงินมาเท่าไหร่? ขอดูเอกสารทั้งหมดได้ไหม? (แผนการเดินทาง- ที่วางแผนเองทั้งหมด จนท.คิดว่าเราไปก็อปจาก Internet มา
เราบอกเลยว่า โน โน โน ไอคิดเองนะยูว!!! /ตั๋วเครื่องบิน/ตั๋วการเดินทางระหว่างประเทศ/เอกสารการจองที่พัก/เอกสารต่างๆคล้ายๆกับเอกสารยื่นวีซ่า เรายื่นให้หมด จนจนท.หัวเราะและบอกว่า คุณเตรียมพร้อมดีมาก ฮ่าๆ)

คุยไปคุยมาจนเพลิน และในที่สุด จนท.ก็ปั๊มตราเข้าประเทศให้ เราเลยพูดทิ้งท้ายไปว่า " ประเทศฉันสวยมากนะ อากาศก็ดี อาหารก็อร่อย
ฉันรักประเทศฉัน ฉันกลับแน่นอน ฉันไม่มาหนีอยู่ในประเทศคุณหรอก คุณไม่ต้องห่วง ฉันกลับแน่ๆ เจอกันอีกทีตอนที่
ฉันออกจากประเทศในกลุ่มเชงเก้น ตอนที่ตม.ปั๊มวีซ่าขาออกละกันนะ บายย"  พูดเสร็จจนท.บอกว่า ขอให้เที่ยวให้สนุกนะ...
เป็นไงคะ สะพรึงไหมคะ นี่แค่เบาๆค่ะ

สรุป: 1. จะเดินทางไปไหน ต้องเตรียมเอกสารให้พร้อมค่ะ ใส่เอกสารต่างๆไปในกระเป๋า carry on เลย เผื่อจนท.ขอดู จะได้ยื่นให้ดูได้เลย
2. อย่าไปกลัวค่ะ ต้องกล้าสบตา บางคนกลัวฝรั่ง พูดไม่มองตา ไม่หนักแน่นพอ ไม่เอาค่ะ เดี๋ยวอดเข้าวอนเดอร์แลนด์ ดินแดนมหัสจรรย์
3. จนท.เขาแค่จะดูว่าคุณมาแล้วคุณจะกลับตอนไหน จะกลับจริงไหม ไม่หนีวีซ่าแน่ๆนะ ยืนยันให้เขาทราบค่ะว่าเรากลับแน่ๆ ไม่อยู่หรอก
แค่มี 3 ข้อนี้ผ่านฉลุยแล้วค่ะ อย่าไปโกหกเขานะคะ ถ้าโกหก สีหน้า ท่าทางจะออก เผลอๆเขาจะจับได้ค่ะ



เหตุการณ์สะพรึง (2) ยังอยู่ที่ Amsterdam ค่ะ
เมื่อนั่งรถไฟเข้าเมืองไปแล้วก็ตรงดิ่งไปยัง โฮสเทลเลยค่ะ พอก้าวเท้าเข้าไปในโฮสเทล กลิ่นกัญชาก็ลอยมาแต่ไกล โอเคละ
เรามาถึง Amsterdam แล้ว เย้! พอเก็บกระเป๋าอะไรเรียบร้อยแล้ว ก็ออกไปหาอะไรทานค่ะ ตอนนั้นประมาณ 2 ทุ่มได้
และก็จะไปเดินเล่นด้วย มีแผนที่ที่ขอจากโฮสเทลแล้วก็เดินไปตามแผนที่พร้อมกับหนังสือท่องเที่ยวคู่กาย
เดินไปเดินมาไปโผล่ที่ " Red Light District!" เดินดุ่มๆไปคนเดียว ไหลไปตามผู้คนมากมาย ซึ่งคนเยอะมากๆค่ะแถวนั้น
และเหตุการณ์ที่ไม่คิดว่าจะเกิดก็เกิดขึ้นนั่นคือ...
มีผู้ชายคนนึงน่าจะเป็นชาวอาหรับมาจับแขนเราค่ะ เขามากับเพื่อนเขาประมาณ 3 คน แล้วถามว่าไปนั่งดื่มกันไหม? มาจากไหนหรอ? มาเที่ยวคนเดียวหรอ?  < เราก็ปฏิเสธไปแล้วพูดว่า นัดเพื่อนไว้ที่ร้านอาหารหัวมุมข้างหน้า มันไม่จบแค่นั้นค่ะ เขาและเพื่อนๆเขาเดินตามเรามาค่ะ เราสังเกตด้วยหางตาตลอดระหว่างที่เดินมา เรารีบจ่ำเลยค่ะ รีบเดินเร็วๆจนเขาไม่ตามมาค่ะ โล่งงงงง

สรุป​ :   ถ้าจะออกไปเดินเล่นยามกลางคืน ยามวิกาลคนเดียว ต้องมีสติมากๆค่ะ ต้องช่างสังเกตสิ่งรอบตัวตลอดเวลา ไม่ไปในที่ๆเปลี่ยวหรือที่ๆคนน้อยจนเกินไป ส่วนตัวแล้วเป็นคนที่ชอบเดินเล่นดูแสงสีตอนกลางคืนมากค่ะ  กลับถึงโฮสเทลเที่ยงคืนหรือหลังเที่ยงคืนตลอด ดังนั้นก็ต้องระมัดระวังตัวเป็นพิเศษค่ะ

...............................................................................................................................................................................................



เหตุการณ์สะพรึง (3) : “Paris is always a good idea.” ― Audrey Hepburn
ครั้งนี้เกิดขึ้นที่ La Basilique de Sacré Coeur หรือ โบสถ์ซาเครเกอร์นั่นเอง เราขอยกให้เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์ที่สะพรึงที่สุดในชีวิตของเราเลยค่ะ

ระหว่างเดินขึ้นบันไดเพื่อไปโบสถ์ด้านบนนั้นนั้นมีพี่มืดคนที่ 1 (คนเคยไปปารีสจะทราบดีค่ะ ว่ามีคนผิวดำอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากทั่วปารีส) เดินตรงมาหาเราค่ะ เราพยายามเดินหนี  แต่ก็มีพี่มืดคนที่ 2 , 3 และ 4 มากันทางเราไว้ค่ะ นึกภาพ 4 คนล้อมวงไว้ แล้วเราอยู่ตรงกลาง... นาทีนั้นรู้เลยค่ะ ว่าต้องเสียเงินแน่ๆ....

ทันใดนั้นพี่มืดคนที่ 1 ดึงมือเราไป ผูกข้อมือค่ะทุกคน!!!!! เราบอกไม่เอา ไม่เอา คุณทำแบบนี้ไม่ได้!!!! เรารีบดึงเชือกออกเลยค่ะ เพราะรู้ว่าต้องเสียเงินแต่ประเด็นคือ... มันดึงไม่ออกค่ะ มันเหนียวมากกก เราโวยวายอยู่ตรงนั้นเสียงดังลั่นเลยค่ะ แต่ไม่มีใครสนใจเลยสักนิด แล้วพี่มืดแต่ละคนก็สูงใหญ่กันทุกคน เราเป็นหลุมอยู่ตรงนั้นเลยค่ะ

พอพี่มืดผูกเสร็จ ก็สเต็ปเดิมค่ะ เอาเงินมา!!!!!! เราให้เหรียญยูโรไป 1 ยูโรแต่พี่มืดบอกเอามาอีก...เราก็ให้เหรียญไปอีกค่ะ พี่มืดบอกเอาแบงค์มา 20 ยูโร!!!!! พระเจ้า!!!!!! เรายืนอึ้งอยู่ว่าจะทำไงดี ตะโกนก็แล้ว โวยวายก็แล้ว หนีก็ไม่ได้ เหมือนคนจนตรอกค่ะ เลยให้ไป 20 ยูโรจะได้จบๆไป ถือว่าทำบุญ เราคิดแบบนี้...  แต่พี่มืดยังไม่พอค่ะ บอกว่าเอามาอีก 20 ยูโร!!!!! เราแทบจะร้องไห้อยู่ตรงนั้นค่ะ คือ เชือกบ้าอะไร 20 ยูโร เมืองไทย 20 บาทก็หรูแล้ว!!!! และสุดท้าย เราต้องจ่ายค่ะ เพื่อความปลอดภัยของเราเอง

สรุปพี่มืดได้ไง 40 ยูโรแบบสบายๆ หลังจากได้เงินเสร็จ แต่ละคนรีบแยกย้ายไปคนละทางเลยค่ะ เรายืนเอ๋ออยู่ตรงนั้นสักพัก.. พอได้สติ รีบเดินไปหาผู้หญิงฝรั่งเศส 2 คนเพื่อให้เธอช่วยตัดเชือกเส้นนี้ให้หน่อย และเราก็เล่าเรื่องราวให้เธอ 2 คนฟัง เธอก็ช่วยตัดเชือกโดยใช้กุญแจ แต่ก็ยังไม่ขาด เธอบอกกับเราว่า วันหลังถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้ให้ชกหน้าพวกนั้นไปเลยนะ ไม่ต้องไปจ่าย!!!

แต่ทันใดนั้น เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอีก.... มีผู้ชายพี่มืดคนหนึ่ง เดินมาหาเราตรงม้านั่ง มาถามเหตุการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้น?  เราก็เล่าให้ฟังหมดเลยค่ะว่าเราจ่ายไป 40 ยูโรกับเชือกเส้นนี้ ทั้งๆที่เราไม่ยินยอม ทันใดนั้นพี่มืดคนนี้ก็เอากรรไกรมาตัดเชือกที่ข้อมือเรา และไปเรียกพี่มืด 4 คนนั้นมาและถามว่า ได้เงินไป 40 ยูโรจากผู้หญิง (เรา) ใช่ไหม? พวกนั้นตอบว่า ใช่!!! ทันใดนั้นนนน พี่มืดคนดีของเราก็ควักเงินจำนวน 40 ยูโรจากกระเป๋าเงินตัวเองมาให้เราค่ะทุกคนนนน!!!!!!!!!!! แล้วพี่มืดคนดียังขอโทษเราอีกด้วยสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เราอึ้งหนักกว่าเดิมอีกค่ะ... จากนั้นเรารีบเดินขึ้นโบสถ์ไปเลยค่ะ และเดินลงจากโบสถ์อีกทางนึง ทางที่จะมีกระเช้าขึ้น-ลง มันจะมีบันไดอยู่ เพราะเราไม่อยากเจอพี่มืดพวกนั้น

สรุปสุดท้าย : ในความโชคร้ายยังมีความโชคดีอยู่ แต่ก็ไม่แน่เสมอไปค่ะ ก็อยากจะฝากถึงเพื่อนๆนะคะถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้ต้องมีสติอย่างมากเลยค่ะ เลี่ยงได้ก็พยายามเลี่ยง แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้ก็คำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเองเป็นอันดับแรกค่ะ ถ้าเพื่อนๆเจอแบบนี้จะทำอย่างไรคะ?


  
เหตุการณ์สะพรึง (4) ยังคงอยู่ที่ Paris ค่ะ
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่หอไอเฟลค่ะ เวลาประมาณ 3 ทุ่ม แถวนั้นคนเยอะค่ะ เรานั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ม้านั่งตรงหอไอเฟล นั่งรอหอไอเฟลเปิดไฟตอนกลางคืน นั่งอยู่คนเดียว อ่านหนังสือ ดูผู้คนเดินไปเดินมา ฯลฯ และแล้วก็มีผู้ชายออกแนวแขกๆหน่อย  มาขอให้เราถ่ายรูปให้เขากับหอไอเฟล เราก็ถ่ายให้ ไม่ได้คิดหรือผิดสังเกตอะไร

แต่พอถ่ายเสร็จเขาก็เดินมานั่งกับเรา และก็ชวนคุยเรื่อยเปื่อย พอคุยไปได้สักพัก มือไม้เขาเริ่มไวค่ะ เขาเอามือมาจับขาเรา (เราแต่งตัวมิดชิดค่ะ อากาศมันหนาว!) เราก็รู้สึกแปลกๆแล้ว แต่ก็ยังไม่อะไร แต่ลึกๆก็ตั้งการ์ดป้องกันตัวไว้แล้ว  เขาก็เริ่มเข้าประเด็นบรรยายคุณสมบัติของเขาค่ะ เขามีบ้านอยู่ในปารีส เขามีรถ เขาเป็นนักธุรกิจ ฯลฯ เราชอบฟังค่ะ รู้สึกสนุกดีตอนมีคนมาขายของให้ฟัง และก็มีการชวนกันเกิดขึ้น ฉันมีรถ ไปทานข้าวเย็นกันไหม? ฉันรู้ร้านอาหารอร่อยๆเยอะ คุณพักแถวไหน? เดี๋ยวฉันขับรถไปส่ง? ขอเบอร์หน่อย? ขออีเมล์หน่อย?  

เราเลยขอตัวเลยค่ะ บอกว่าอากาศหนาว จะกลับแล้ว ฉันมาเองฉันกลับเองได้ บายยยย พอเราลุกเขาขอกอดและขอจุ๊บแก้มค่ะ เราเลยบอกโนนน!! ส่ายหัว แล้วรีบเดินกลับเลยค่ะ

สรุป : สติค่ะสำคัญมาก อย่าไว้ใจใครง่ายๆ นอกจากตัวเอง เชื่อสัญชาตญาณตัวเองแล้วรีบเดินหนีไปให้ไกลที่สุด
...........................................................................................................................................................................



เหตุการณ์สะพรึง (5)  “You may have the universe if I may have Italy” ― Giuseppe Verdi
ได้ยินประวัติมาเยอะมากค่ะเกี่ยวกับประเทศอิตาลี บ้างก็ว่าโดนล้วงกระเป๋า บ้างก็ว่าโดนจี้ ปล้น ฯลฯ แต่โชคดีค่ะที่เราไม่เจอเหตุการณ์แบบนั้นเลยแต่ก็เจอในรูปแบบที่แตกต่างกันไปค่ะ

เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นที่ Rome ค่ะ
ช่วงนั้นประมาณบ่าย 3 โมงค่ะ ย้ำ! บ่าย 3 โมง แดดเปรี้ยงๆ! เราพักโฮสเทลแถวๆสถานีรถไฟ Termini ซึ่งใครเคยไปย่านนั้นจะทราบว่าพวก Homeless เยอะมาก นอนกันหน้าโบสถ์ ขอเงินกันหน้าโบสถ์เลย พอดีว่าตอนนั้นต้องกลับมาโฮสเทล มาเอาของ ระหว่างที่เดินกลับมาก็มีผู้ชายเดินตามค่ะ แต่เดินกันคนละฝั่ง มีถนนอยู่ตรงกลาง เราเห็นท่าจะไม่ดีแล้ว เรารีบเดินเลยค่ะ พอเขาเห็นเรารีบเดินเขาก็รีบเดิน เราวิ่งเขาก็วิ่ง เราหยุดเขาก็หยุด ซึ่งเราก็งงว่ามีอะไร แต่ก็ไม่ได้หันไปพูดด้วย

เมื่อถึงสี่แยกต้องข้ามถนน เขาข้ามมาฝั่งเราค่ะ สรุปเราเดินอยู่ฝั่งเดียวกัน พอเราเห็นว่าเขาข้ามถนนมา เรารีบวิ่ง 8x100 เลยค่ะ น่ากลัวมาก! เขาวิ่งตามมาแล้วเหมือนจะพยายามพูดด้วย ตอนนั้นเราไม่สนใจแล้วค่ะ รีบวิ่ง กุมกระเป๋า เข้าโฮสเทลเลย แล้วเขาก็หยุดหน้าโฮสเทลเรา แต่ไม่ได้เข้ามา...

สรุป : เราก็ไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรตอนกลางวันแซกๆ หรือเราทำของตกหล่นไว้ แล้วเขาจะเอามาคืนก็ไม่รู้ นึกแล้วก็ขำค่ะ ตลกดี ^___^

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ประกาศนียบัตรชนะเลิศ การบริการยอดเยี่ยม Tripadvisor.com

Sample Text

ขับเคลื่อนโดย Blogger.

VartikaAdventure Kuiburi

VartikaAdventure Kuiburi

VartKa Kuiburi

VartKa Kuiburi

Facebook Vartika Adventure Retreatic Resort

Facebook Vartika Resovilla Kuiburi

Popular Posts