ในเรื่องต่างๆ เพราะยอมรับว่าเราก็เป็นมือใหม่หัดสมัครเอาซะด้วย ไม่ได้คิดว่าการเขียนรีวิวครั้งนี้จะต้องเป็นประโยชน์มากๆๆ สำหรับคนอื่น แต่ว่าก็หวังว่าเพื่อนๆ จะได้รู้สึกว่าสนุกไปด้วยกัน อย่างน้อยก็ได้เห็นมุมมองใหม่ๆ และหลายๆครั้งคำกล่าว หรือคำพูดที่เราได้ยินมาอาจจะเป็นความจริงในบริบทๆ หนึ่ง แต่พอสถานที่เปลี่ยน คนเปลี่ยน เวลาเปลี่ยน เพื่อนๆ อาจจะพบว่า มันอาจจะแตกต่างกันโดนสิ้นเชิง อยากให้มองกว้างๆ แล้วก็ที่สำคัญ อยากจะสนับสนุนส่งเสริมให้ทุกคนลองไปสมัครต่างประเทศดู
ถึงแม้จะได้หรือไม่ได้ ผ่านหรือไม่ผ่าน แต่รับรองว่าโตขึ้นเยอะ ประสบการณ์ทั้งการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ความกระตือรือร้น จะได้มาเต็ม แล้วก็มิตรภาพระหว่างทางที่พบเจอ แล้วก็เพื่อนใหม่ ประสบการณ์ใหม่ที่ได้ฟังจากคนอื่น ข้อมูลเดินสะพัดมาก สำหรับมือใหม่อย่างเรา เราก็คิดว่ามันคุ้มมากๆ บางทีคุ้มกว่าที่สมัครที่ไทยอีก ฉะนั้น อย่าได้กลัว มันคุ้มที่จะลงทุนนะ แต่ถึงยังไงก่อนไป ก็ไม่ใช่ว่าจะคิดว่าไปเล่นๆ ไหนๆ ก็เสียเงินแล้ว ก็ต้องมีความตั้งใจ การเตรียมตัวให้พร้อมนะ เราก็อยากจะสื่อแค่นี้แหละ และบอกไว้ก่อนเลยว่า หลาย ๆ อย่างในโพสนี้ก็เป็นมุมมองเราซะส่วนมาก ที่อ้างอิงมาจากประสบการณ์จริง แต่ผ่านกระบวนการความรู้สึกนึกคิดส่วนตัวของเรา ไม่ได้ตั้งใจจะพาดพิง หรืออ้าง ถึงใครเป็นพิเศษ ถ้าเรื่องมันบังเอิญตรง ก็อยากจะบอกเจตนาเลยว่า เจตนาดีจะแชร์ให้คนอื่นเป็นแนวทาง ไม่ได้จะโจมตี หรือลบลู่ หรือคิดร้ายแต่อย่างใดเลยนะ (ไม่เอามาม่านะหนูไม่อยากมีเรื่อง) ถ้าเข้าใจดังที่เราแถลงแล้วก็ไปอ่านกันเลยจ้า! (ค่อยๆอ่านนะ ถ้าอ่านละเอียดแล้วมีคำถามค่อยถามน้า เพราะบางรายละเอียดก็อยู่ในที่เล่าแล้ว)

แนะนำตัวก่อน เราชื่อ เม อายุ 23 เพิ่งจะเริ่มสมัครแอร์ก็ประมาณมกรา 2015 นี่เอง สนามแรกคือ EK Open day รอบ 11 มกรา รอบในตำนานสุดโหด ไปตั้งแต่ 7 โมง กว่าจะได้ยื่น ก็ ทุ่มนึง ไม่ต้องถามนะ ว่าได้หรือเปล่า เพราะไม่ได้ 555 ไม่ได้แม้แต่ผ่าน prescreen พอไม่ผ่านตรงนั้น
สนามสองเป็น QR รอบ มกรา กลางๆ จำวันไม่ได้ ไปเร็วได้ยื่น 10 โมงเลยค่ะ เค้าถามว่า what do you do at the moment? แต่ผลก็คือ ไม่ผ่านแม้แต่ prescreen เช่นกัน ...ก่อนหน้าที่เราจะสมัครพวกนี้ เราก็เตรียมตัวนะคะ หาอ่านในบอร์ดนี่แหละจากประสบการณ์คนอื่น ทั้งบอร์ดไทย แล้วก็รู้สึกว่ายังไม่พอ เลยหาพวกประสบการณ์จากบล็อกเพื่อนๆ เมืองนอกมาอ่านด้วย เราแอบคิดว่าฝรั่งบางทีเขียนรีวิวแบบละเอียดกว่ามากๆ มันดีงาม ยกตัวอย่างคำถาม หรือแม้กระทั่งทริคของตัวพวกเขาเอง หรือที่พวกเขาสังเกตว่าคนที่ไม่ผ่านด่านต่างๆ เป็นเพราะอะไร เราก็ไปอ่านที่พวกเค้าวิเคราะห์อะไรแบบนี้ มันช่วยได้เยอะอยู่นะ เรื่องการมองให้เห็นภาพ จะได้ไม่ประเจิดประเจ้อ รู้ทริคเล็กๆ น้อยๆ แต่ถึงเวลา มันขึ้นอยู่กับตัวเราล้วนๆ เลยค่ะ มันไม่มีตำราเล่มไหนที่จะบอกเป๊ะๆ ว่าเราต้องทำอย่างนี้ๆๆๆๆ นะ ถึงจะได้ เพราะแต่ละคนมีบุคลิกไม่เหมือนกัน ไม่มีอะไรเหมือนกันเลย ถ้าทำเหมือนกันก็ไม่ได้รับรองว่าจะได้ใช่ไหมละค่ะ

ออกตัวก่อนเลย ว่า เราไม่เคยเรียนพิเศษ คอร์สแอร์อะไรเลย เคยแทคคอร์สการกุศลครั้งนึงที่สถาบันแห่งหนึ่ง แค่ครั้งเดียว แต่เราว่ามันช่วยเรื่องให้เห็นภาพของอาชีพนี้มากกว่า แต่ไม่ได้ช่วยเรื่องการเตรียมตัวเท่าไหร่เลยค่ะ (ขอพูดตรงๆ) เพราะเค้าออกแนวพูดรวมๆ เกี่ยวกับแต่ละสายการบินมากกว่า ไม่ได้เจาะจงแม้แต่สายการบินเดียว แล้วก็พูดโดยรวมเกี่ยวกับอาชีพนี้ แต่สองชั่วโมงเองค่ะ ถ้าถามว่าได้อะไรขนาดนั้นมั้ย ก็จะตอบว่าดีกว่าไม่รู้อะไรเลย เอาหน่าของฟรี ก็ลองไปดูนะ สำหรับมือใหม่ แต่ถ้าจะให้เราแนะนำสถาบันเรียน ขอบอกว่าช่วยไม่ได้จีจีค่ะ 5555 เพราะตัวเรายังเชื่อเลยว่า ถ้าตั้งใจจริง เราสามารถพัฒนาตัวเองได้นะ ลองดูก่อน ถ้าลองด้วยตัวเองแล้วไม่ผ่านจริงๆ ว่ะเห้ย ค่อยไปสมัครเรียนก็ได้ (แต่สำหรับผู้ที่อายุสูงหน่อยและมีความฝัน ก็คงต้องพึ่งทางลัดเนอะ รีบๆ ไปเรียนจะได้รู้ทริคอะไรได้เร็วกว่าการเรียนรู้ด้วยตัวเอง มีโอกาสติดอาจจะเร็วกว่าจะได้ไม่เสียเวลาเดี๋ยวอายุจะเกินซะก่อน อันนี้เพื่อนที่เราเจอบอก)

ส่วนการเตรียมตัวหน้าตา รูปร่าง เราก็หาอ่านเอาค่ะ เยอะมากมีคนเขียนไว้ดีๆ เยอะไปหมด เราก็เตรียมประมาณนี้ค่ะ
1. เรื่องฟัน
- ฟันขาว อันนี้จำเป็นจีจี เป็นส่วนหนึ่งของกรูมมิ่งที่ดี อ่ะ เราเป็นคนฟันเหลืองมากกกกกกกกกกก คูณสิบ บอกเลย
ใช้อะไร ใช้ white stripe ค่ะ มีหลายรุ่น ของเราใช้ระดับสี่ ไม่เสียวฟันตอนทำ แต่ตอนกินน้ำเย็นนี่วาบเลย 555 แต่ก็ขาวขึ้นนะคะ อย่างเห็นได้ชัด แต่ถามว่าขาวขนาดคนที่ไปทำที่หมอฟันไหม ก็จะตอบว่าไม่ ค่ะ 555 แต่ถูกประหยัดงบกว่านะคะ แค่สองพันเองของเรา
- ที่อุดฟันสีอื่นๆ ที่ไม่เหมือนฟัน.. อันนี้ก่อนไปเราก็ไปเปลี่ยนเป็นสีขาวจ้า หมอฟันจะเทียบสีฟันของเราเพื่อเปลี่ยนวัสดุให้เหมือนสีฟัน ของเราทำสองซี่ใหญ่ๆ เป็นซี่กรามด้วยค่ะ เพื่อความสวยงาม เพราะคงไม่ดีนักถ้าอ้าปากแล้วเห็นสีเหล็กอุดๆ 55555 its a no from me...
2. ผม สีเดียวกันทั้งหัวนะจุ๊ สีอะไรก็ได้ และคิ้วควรจะสีเดียวกะผมครัช
3. ขน อันนี้เราไม่ได้โกนขนแขนนะ เพราะคิดว่าไม่ได้เข้มขนาดนั้น (แต่ยาวนะ ตอนเด็กๆ เพื่อนชอบมาล้อ แล้วก็ดึงๆ ตรงแขน)
4. เล็บ ของเราตัดสั้นและทาธรรมดาค่ะ เลือกสีใส เพราะเป็นคนทาเล็บไม่เก่ง ทาสีทีไร ไม่ทันแห้ง เลอะ แล้วก็เป็นย่นๆ ทุกที -_- จะทาแดงก็แดงทั้งสูททั้งปากแล้ว ขอเล็บชอฟๆ ละกันน
สำหรับตัวเม
เราสมัคร เอมิเรสต์รอบนี้รอบที่ 2 แพลนว่าจะออกต่างประเทศเลย เพราะไม่คิดว่าตัวเองมีอะไรต้องเสีย ส่วนตัวเราไม่ได้มีฐานะขนาดว่าจะเอาเงินมากมายไปเรียนคอร์สกับอาจารย์ดังๆ เพราะเราเองก็เพิ่งเรียนจบ และถ้าไปเรียนจริงๆ ก็คงต้องขอทุนพ่อแม่ ซึ่งก็เบียดเบียนท่านอีก อีกอย่างเราก็คิดว่า ภาษาเราก็พร้อมระดับนึงที่พอจะสู้กับคนอื่นเค้าได้ เพราะเคยเรียนhigh school ตอนเมืองนอกมา 2 ปี แล้วก็เรียนมหาลัยที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษทั้งหมดทุกครอส ก็เลยตั้งปณิธานไว้ว่า ฉันจะต้องไปสมัครที่ Ipoh, Malaysia เพราะคิดว่า คนต้องน้อยกว่า KL, Malaysia แหละน่าอย่างน้อย ขอให้เข้าแค่รอบ group discussion ก็พอ จะได้มีประสบการณ์มากขึ้นอีกนิด เห็นภาพมากขึ้นอีกหน่อย หลังจากสมัครที่ไทยมกราแล้ว ไม่ได้อะไรเลย 555 แต่หลายๆ เสียงในตอนนั้น บอกว่า ไม่ต้องไปหรอก เดี๋ยว เอมิเรสก็มาไทย อีกไม่กี่เดือน.. ไปเมืองนอกโอกาสตกเยอะ.. ลำบากนะ แล้วถ้าตก นี่ต้องรออีกหกเดือนนะ บลาๆๆๆ เราก็ฟัง แต่ใจมันไปแล้วอ่ะ ช่วยไม่ได้ เป็นคนประมาณว่า ถ้าวางแผนจะทำอะไรแล้ว ต้องทำให้สำเร็จ และทำให้ดีด้วย คิดดังนั้นก็เริ่มวางแผนตั้งแต่มกราเลยจ้า เลยหาข้อมูลตั้งแต่เรื่องเมือง เพราะชื่อนี่ไม่เค๊ย ไม่เคยรู้จักอ่ะเธ๊อออออ เรื่องการเดินทาง ไปยังไงฟะ แล้วก็งบประมาณ และวันบิน สรุป คือเราไปตั้งแต่วันที่ 19 กุมภา เพราะตั๋วถูก 5555 แล้วก็ไปอยู่โรงแรมง่อยๆ ถูกๆ ก่อน สามคืน ปรับตัวให้เข้ากับอาหาร อากาศ อะไรกันไป พอคืนวันก่อนที่จะมี โอเพ่นเดย์ เราก็ย้ายโรงแรมไปอยู่ใกล้ๆ โรงแรมที่จะสัมภาษณ์ ซึ่งแพงกว่าเท่านึง และสรุปได้อยู่โรงแรมนั้นตั้งแต่ต้นจบไฟนอลอินเทอวีว
เอาจริงระหว่างนั้น ตอนปรึกษารุ่นพี่ที่ติดปีกแล้ว ในบอร์ดนี้แหละคะ หลายๆ คนก็บอกว่า ‘เราแข่งกับตัวเอง’ ฉะนั้น ไม่ต้องกลัวว่าเราจะไปที่ไหน เพราะถึงแม้คนเยอะ เราไม่ได้แข่งกับเค้า เราแข่งแค่กับตัวเรา.. แต่สำหรับเมนะ.. เราว่ามันไม่จริงซะทั้งหมด... คือหนึ่งละ คนน้อยกว่า กรรมการย่อมเหนื่อยน้อยกว่า อารมณ์ดีกว่า 555 ส่วนตัวคิดว่า .. อย่างเปรียบเทียบ EK รอบ มกราที่ไทย กับ รอบที่เมไปที่อีโปห์ คือต่างกันมากๆ คือ คนสมัครน้อยกับคนสมัครมาก มันให้ฟีลลิ่งที่ต่างกัน และสิ่งเดียวที่เห็นได้ชัดมากคือ การทำ process ของกรรมการ ที่ไทยระบบแบบไม่ไหวจะเคลียร์จีจี แต่ที่อีโปห์มีกรรมการคนเดียวจริง แต่วางระบบดีพอควรค่ะ ให้เวลาเท่าเทียมกับทุกคน การคัดจะมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เช่น OPD ก็เปิดวีดีโอสายการบินให้ดูเลย แถมแจกใบค่าแรงให้ดูแล้วด้วย คือเอาจริงป่ะ ถึงแม้จะไม่ได้เข้าต่อ นี่ถือว่าบุญมากนะ ใช้เวลาไม่นานในการให้ทุกคนยื่น CV เสร็จแล้วเค้าก็ประกาศตอนนั้นเลย โดยใช้การ highlight ชื่อแล้วแปะหน้าห้อง ถ้าเป็นที่ไทย เค้าจะโทรเอาใช่มะ อันนี้ก็เป็นหนึ่งตัวอย่าง ที่เราคิดว่า มันคนน้อยแล้ว อะไรๆก็สบายใจกว่าดูไม่วุ่นวาย จิตใจคนสมัครไม่ว้าวุ่น จิตใจกรรมการไม่เครียดเพราะแปปๆ เดี๋ยวก็หมดแล้วเธอ ไม่ต้องรีบ มีเวลาตัดสินใจว่าให้เราผ่านไม่ผ่านเยอะขึ้นอีกติ๊สสสส
เพื่อรายละเอียดที่ดีกว่า เดี๋ยวเราจะเขียนแต่ละขั้นตอนให้ฟัง อันนี้เป็นสรุปของเรานะคะ
OPENDAY :23 FEB
ASESSMENT DAY: 24 FEB
FINAL INTERVIEW DAY: 26 FEB
OPENDAY: The key is..
- Confident: อันนี้สำคัญมาก เพราะถ้าขาด จะทำสิ่งอื่นๆ ไม่สำเร็จ อันนี้มันเป็นอินเนอร์ลึกๆ ค่ะทุกคน ต้องมั่นใจในตัวเองนะ เดินมั่นๆ ไหล่เชิดๆ ไม่ห่อ
- Smile: ยิ้ม และสบตา ตั้งแต่ยังไม่เดินเข้าไป หรือรอแถว และคนข้างหน้ากำลังจะเดินไปหากรรมการ เราก็มองเค้าก่อนเลย บวกกับยิ้มๆ จากใจครัชชช
- Eye Contact: มองตากรรมการตลอดเวลาตั้งแต่เดินเข้าไป ตลอดจนการพูดกับเค้า ใจดีสู้เสือ พอเค้ามองเรานี่ เราต้องสบตาเค้าแล้วนะ อ ย่ า ห ล บ ต า
- Speak Fluently: อย่าตื่นเต้น ลิ้นจะพันกัน
ก่อนไป เราซ้อมนะคะ ไม่ได้อยู่ดีๆ คิดว่าจะไปสมัครก็สมัครเลย คือเราก็เตรียมตัวเป็นเดือนเหมือนกัน หาข้อมูล รวบรวมคำถาม แล้วก็ให้น้องสาวแอคเป็นกรรมการให้ แล้วเราก็ตอบ แล้วนางก็ติ ว่าควรปรับปรุงอะไร ดีงาม ที่น้องสาวที่ห่างกันสี่ปี นางเก่งและมีมุมมองที่กว้างอะคะ เค้าซับพอดเราได้อย่างดี แนะนำดีมาก ^^ อันนี้เราโชคดีไป ใครไม่มีน้องสาวก็ใช้เพื่อน ใช้แฟน ใช้พ่อแม่ อะไรงี้ค่ะ หรือถ้าไม่มีใคร ให้ใช้ตัวเอง อัดวีดีโอเอา แล้วก็มานั่งฟังนั่งดูว่าตัวเองควรปรับอะไร แต่วิธีนี้สำหรับเราไม่เวิคค่ะ เพราะเราคิดไม่ค่อยออก ต้องให้น้องช่วยติ 555
ออกกำลังกาย กินอาหารมีประโยชน์ อันนี้สำคัญ เพราะการไปต่างประเทศคือ ต้องตรากตรำกว่าบ้านเราอยู่แระ ถ้าไม่แข็งแรง จะเจ็บป่วยง่าย และเจ็บป่วยคนเดียว อยู่ต่างประเทศเป็นเรื่องไม่สนุก เราก็เล่นเวทประจำอยู่แล้ว ส่วนเรื่องอาหารกินดีๆๆๆ ก่อนไปนะ เพราะไปนู่นอาจจะไม่ได้กินอาหารดีๆ 55555555
เมืองอีโปห์ สรุปโดยรวม เดินทางยากมาก รถประจำทางมี และขึ้นมาแล้วด้วย แต่แย่ยิ่งกว่ารถเมล์ไทยในเรื่องของความถี่และเวลาที่จะมา และป้ายรถ ถ้าถามคนอีโปห์ เธอเห็นป้ายรถเมล์ไหม ไปทางไหน เค้าจะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า 'ไม่รู้' หรือไม่ก็ 'เฮ้ยเธอนั่งแท็กซี่ไปเถอะนะ เร็วกว่า' เอาเป็นว่า ถ้าครั้งหน้า เอมิเรสต์ไปเปิดรับสมัครที่อีโปห์อีก เรียกร้องมาละกันนะ เราจะได้เขียนรีวิวการเดินทางไปด้วยเลย 555 เพราะถ้าให้เขียนเลย บางคนอาจจะอยากอ่านแค่ process ไม่ได้อยากรู้เรื่องการเดินทางเท่าไหร่ แต่ขอเตือนไว้ก่อนเลยว่า คุณจะต้องมีจิตใจที่เข้มแข็งจริงๆ เพราะนอกจากจะต้องเดินทางไกลแล้ว ชีวิตความเป็นอยู่มันไม่ได้ดีอย่างที่คิด เช่น โรงแรมที่อยู่ก็มีร้านอาหาร local ข้างๆ ถึงแม้อาหารจะถือว่าอร่อยพอกินได้ แต่กินไปมื้อหนึ่งก็เลี่ยนแล้วอ่ะ ที่สำคัญ อีโปห์เป็นเมืองไม่มีผัก ฉันไม่ได้กินผักเลยทั้งอาทิตย์ โอ้ยยยทรมานมาก จะตายยยย ผลไม้ที่ได้กินไม่กี่ลูกคือ แอปเปิ้ล กับ ส้มจีน และกล้วย แค่นี้ วันๆ ประทังชีวิตด้วย ข้าวขาว และน้ำแกงแบบกะทิ เนื้อสัตว์หรอเค้าไม่ค่อยกินกันอ่ะที่นี่ T _ T กลับมาน้ำหนักลด 3 โลเลย พร้อมกับความอยากอาหารลดไปหมด เพราะมีแต่อาหารแขก อาหารมาเล นี่คล้ายๆ กันคือ แดง ๆ เหลืองๆ เป็นแกง แล้วก็มันๆ มีเนื้อสัตว์ T_T กลับไทยมานี่เป็นมังสวิรัติไปโดยปริยาย กินผัดๆ ที่ใช้น้ำมันไม่ล๊งงงงงง จีจี ซึ่งสำหรับเมนะ อาหารเป็นเรื่องสำคัญในการทำให้เรา มีพลังในการทำสิ่งๆ หนึ่งให้ดีได้
เข้าเรื่องดีกว่า
Open day (OPD)....
ต่อโพส
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น