หายไปเล็กน้อย วันนี้มาต่อคะ
ความเดิมมีอยู่ว่า
http://pantip.com/topic/33260500
1.Hola Ecaudor
จุดหมายปลายทางแรกในทริปอเมริกาใต้คือ เมืองกิโต อันเป็นเมืองหลวงของประเทศเอกวาดอร์ สารภาพเลยว่า ถ้าไม่คิดที่จะไปเที่ยวเกาะมหัศจรรย์ กาลาปากอส ชีวิตนี้คงไม่มีโอกาสได้มาเยือนเมืองกิโตนี่แน่ๆ เพราะไม่เคยรู้จัก หรือเคยได้ยินเมืองชื่อคล้าย”อีโต้” นี้มาก่อน แต่เพราะเกาะกาลาปากอสนั้น อยู่ในเขตประเทศเอกวาดอร์ ฉันจึงต้องมาลงที่เมืองกิโตนี้เพื่อหาซื้อแพคเกจทัวร์กาลาปากอส ซึ่งมีอยู่มากมายหลากหลายบริษัท มากจนแทบเลือกไม่ถูกว่าจะซื้อทัวร์ของที่ไหนดี
โฮสคนแรกเป็นคนเอกวาดอร์ โดยกำเนิด เป็นชายวัย สามสิบสองปี มีอาชีพเป็นอาจารย์สอนในมหาลัย และเป็นอาร์ตติสวาดภาพประกอบด้วย ฉันขอเรียกเค้าว่า “น้องโบ้”(ชื่อจริงเค้าขึ้นด้วยคำว่า โบ เลยเรียกเป็นโบ้ ดูจะแมนกว่า) ก่อนเดินทางมาที่คอนโดของน้องโบ้ในเมืองกิโต เราได้ติดต่อกันทางอีเมลก่อนล่วงหน้าเป็นเดือนๆ น้องโบ้ส่งแผนที่ ที่คอนโดมาในรูปแบบกูเกิ้ลแมป อธิบายการเดินทางมายังคอนโดของเค้าไว้อย่างละเอียดประมาณหนึ่ง แต่ถึงกระอย่างนั้นก็ตาม ก็ยังรู้สึกตื่นเต้น กลัวๆ อยู่บ้างเพราะนี้เป็นครั้งแรกที่มีโอกาสได้มาเหยียบเยือนดินแดนแห่งซีกโลกใต้แห่งนี้ ประเทศแถบที่ผู้คนแทบไม่พูดภาษอังกฤษ บ้านเมือง ถนนหนทางที่ไม่เคยเห็น ไม่เคยสัมผัส แล้วนี่ฉันจะต้องออกเดินหาเจ้าคอนโดหลังนี้ในเมืองหลวง จากคำอธิบายในกระดาษเพียงแผ่นเดียว เอ่อ...ง รู้สึกว่าเหมือนตัวเองกำลังเล่นเกมส์ตามล่า หาสมบัติโดยอาศัยลายแทงจากกูเกิ้ลแมป ยังไงยังงั้น
หลังจากที่ออกจากสนามบินที่กิโต ซึ่งมีความใหญ่ราวๆสนามบินดอนเมืองได้ ตามลายแทง น้องโบ้บอกว่าจากสนามบินให้มองหารถบัสสีเขียวเข้าเมือง รถจะมีความเล็กกว่า บขส. ของบ้านเราพียงเล็กน้อย ฉันต้องนั่งรถเข้าเมืองไปเพื่อต่อรถโทรลลี่อีกทีนึงในตัวเมือง
ฝีทีนการขับรถของโชเฟอร์ของคนที่นี้เล่นเอาให้คิดถึงคนขับรถเมล์เล็กใน กรุงเทพ มากๆ ขับรถได้เร็วไม่แพ้นักแข่งรถในสนามฟอร์มูล่าวัน จริงๆ เข้าโค้งแต่ละทีต้องท่องสวดมนต์ในใจ ว่าขอให้รอดแคล้วคลาดปลอดภัย มีชีวิตอยู่รอดเดินทางจนสำเร็จ ทริปนี้ด้วยเถิด สาธุ
เวลาที่นั่งรถบัสจากสนามบินมายังท่ารถในตัวเมืองราวชั่วโมงกว่าๆ ก็ต้องลงจากรถบัส เพื่อมาต่อรถโทรลลี่(trolly) รถโทรลลี่หน้าตาคล้ายๆรถเมล์มีแอร์บ้านเรา ที่เป็นสองตอนแต่ ต่างกันตรงที่เค้าไม่มีแอร์ มีแต่หน้าต่างเปิดโชยรับลม สภาพรถดูโทรมๆ เก่าๆ มีผู้โดยสารรอขึ้นอยู่เยอะพอควรเลยทีเดียว ค่ารถขึ้น ครั้งละ 25เซนต์(ใช้สกุลดอลลาร์เหมือนอเมริกาเลย)ตีเป็นเงินไทยก็ราคา แปดบาทได้ ซื้อก่อนที่ผ่านเข้าคอกเดินไปรอรถที่ชานชลา ด้านหน้า ซื้อที่โต๊ะขายตั๋ว เป็นกระดาษขาวๆแผ่นเล็กๆ ซื้อเสร็จผ่านเข้าคอก ก็มีตะกร้าให้ทิ้งตั๋วรถได้ทันทีเพราะไม่มีนายตรวจตั๋วมาตามตรวจบนรถทีหลังอย่างบ้านเรา
ตอนที่รอรถ หันไปถามป้าเอกวาดอเรี่ยนคนหนึ่งที่ยืนใกล้ๆ ฉันเอาลายแทงแผนที่คอนโดโฮสน้องโบ้ออกมาให้ป้าช่วยดูว่ารถที่รออยู่นี้ผ่านไปเส้นนี้หรือไม่ ป้าตอบว่าผ่านอยู่พร้อมทำท่าสื่อสารว่านางก็กำลังรอขึ้นคันนี้เหมือนกัน ฉันยิ้มตอบขอบคุณไปทีนึง สักพักรถก็มาเทียบจอด คนที่นี้ไม่มีการรอต่อคิวเข้าแถวกัน พอรถมาก็กรูกันแย่งขึ้นรถ โชคยังดีว่าได้ยืนอยู่หน้าสุดเลยขึ้นรถได้เป็นคนแรกๆแต่ด้วยความที่มีสัมภาระกระเป๋าเดินทางใบเขื่องอยู่เลยทำให้เคลื่อนตัวไปจับจองเก้าอี้ที่นั่งบนรถลำบาก แต่ แต่ แต่ แต่ดวงยังดี ป้าที่คุยด้วยเมื่อครู่นี้ ช่วยกันที่นั่งไว้ให้ งานนี้เลยรอดจากการโดนเบียดเสียดเป็นแซนวิชจากพี่น้องชาวเอกวาดอร์
นั่งลงได้ ก็มองใจลอยออกไปนอกหน้าต่างด้วยความล้าจากการนั่งเครื่องมาสิบสองชั่วโมงจากยุโรป ไหนจะรถบัสอีกชั่วโมงกว่า แถมตอนนี้ก็มาอยู่บนรถที่แน่นไปด้วยคนมากมาย รายรอบตัว ไปหมด เหมือนกับว่าแบตเตอรี่ในร่างกายมันอ่อนลงไปเรื่อยๆ หันกลับสลับมาที่คนบนรถที่ยืนตัวแนบชิดกันอยู่ อดกลัวไปถึงตอนที่เราจะลงจากรถไม่ได้จริงๆว่าจะสาหัสทุลักทุเล ขนาดไหนที่ต้องฝ่ากำแพงมนุษย์เอกวาดอร์ลงจากรถไป ถ้าคนยังทยอยขึ้นมาเรื่อยๆ
จนสักพักใหญ่ๆ ป้าคนเดิมสะกิดฉันด้วยสายตาว่า”เตรียมตัวลงป้ายหน้านะหนูจ๋า” ฉันเลิ่กลั่กเตรียมตัวคว้าจับกระเป๋าเดินทางอีกครั้งพร้อมดีดบั้นท้ายขึ้นจากเบาะที่นั่งอย่างว่องไวเพราะรู้ว่าคงต้องใช้เวลาในการฝ่าดงผู้โดยสารกว่าจะไปถึงประตูรถได้ แถมฉันสังเกตได้ว่า คนขับรถจะไม่จอดแช่ที่ป้ายรถนานๆ เสียด้วย ดังนั้นจึงต้องพยายามทำเวลาที่จะลงรถให้ดีและให้ได้ แต่ด้วยความที่คนบนรถมันแน่นเบียดเสียดกันจนฉันเองที่ลุกขึ้นยืนแล้ว ยังมองไม่เห็นเลยว่า ประตูรถที่จะต้องลงมันอยู่ทิศไหนด้วยซ้ำ ได้แต่แหวกทางไปดันคนข้างหน้าไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็เห็นประตูชัยอยู่ด้านหน้า ดีอกดีใจได้แค่ สามวินาที ประตูชัยก็ดันปิดประตูลงต่อหน้าต่อตา แถมตัวรถก็กำลังเคลื่อนตัวออกจากป้ายอย่างไม่ปราณี รีรอแต่อย่างใด
ทันใดนั้นเอง พ่อแม่พี่น้องผู้โดยสารบนรถโดยที่มีคุณป้าคนเดิมเป็นต้นเสียงตะโกนบอกคนขับด้านหน้าว่า “เฮ้ยๆ อย่าเพิ่งไป ยังมีคนยังไม่ได้ลงจากรถ” แล้วต่อจากนั้นฉันก็รู้สึกตัวว่าเหมือนโดนซึนามิมนุษย์ซัดผลักร่างของฉันออกมา มือไม่รู้กี่สิบมือโผล่มาจากทุกทิศรอบกายออกแรงผลักไสให้ตัวฉันเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว และรุนแรงเสียด้วย ประตูรถถูกเปิดออกอีกครั้ง พร้อมกับร่างและกระเป๋าเดินทาง หลุดลอยออกมาจากตัวรถ ราวกับเด็กทารกทีถูกเบ่งออกมาจากช่องคลอดมารดา ..นั่นเป็นความประทับใจครั้งแรกของฉันต่อประชนชาวเอกวาดอร์จริงๆ ได้สัมผัสถึงความมีน้ำใจแบบถึงไม้ถึงมือของคนที่นี้ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงที่เหยียบถึงประเทศนี้ ความรู้สึกตอนนั้น บรรยาย ได้ สามคำ ว่า โหด มัน ฮา จริงๆ
หลังจากที่ลงจากรถโทรลลี่มาได้ ฉันก็กางลายแทงแผนที่อีกรอบนึง เหลียวซ้ายแลขวา สังเกตโหงวเฮ้งคนที่จะลองเข้าไปถามทางเค้าดูว่าสามารถพูดภาษาอังกฤษได้หรือเปล่า โชคดีที่เหยื่อคำถามรายแรกเป็นวัยรุ่นสาวตาคมที่พูดภาษาอังกฤษได้ ฉันถามว่าเจ้าตึกคอนโดที่ต้องการจะไป มันอยู่ใกล้ๆแถวนี้หรือเปล่า เธอหยิบแผนที่ไปดูสักพัก แล้วตอบมาว่า ใช่แล้ว ตึกที่ตามหาอยู่นั้น มันก็อยู่ใกล้ๆแถวนี้แล้วแหละ เธอว่า เดินเท้าไปก็ได้ แต่ฉันรู้สึกว่า ณ จุดๆนี้ อยากนั่งแท็กซี่มากกว่าที่จะเดินเพราะรู้สึกเหนื่อยล้าจากการเดินทางเต็มที ใจอยากไปให้ถึงคอนโดของโฮสไวๆ แต่เหมือนโชคไม่เข้าข้างเพราะรอแท็กซี่อยู่นานสองนานก็ไม่สามารถเรียกแท็กซี่ได้สักที ท้ายสุดก็จำใจเดินลากกระเป๋าเดินทางพร้อมกับลากสังขารเปื่อยๆไปด้วย สักพัก เจอคู่ป้าลุงคู่หนึ่งเดินผ่านมาเลยรีบถามว่า รู้ไหมว่าคอนโดที่อยู่ในแผนที่นี้อยู่ที่ไหน เค้าสองคนช่วยกันดูแล้วคุยกันว่า เหมือนว่าจะอยู่แถวนี้ แล้วก็ชี้มือไปทางฝั่งตรงข้ามถนน แล้วบอกว่า เดินข้ามถนนนี้ไป เลี้ยวขวาเดินตรงขึ้นไปเรื่อยๆ ฉันกล่าวขอบคุณเป็นภาษาสแปนนิชเสร็จ ก็รีบข้ามถนนแล้วเดินไปตามที่ลุงป้าบอกไว้
แต่ โรคย้ำคิดย้ำทำกำเริบ พอเดินไปได้สักพัก เจอหนุ่มน้อยคนนึงเดินสวนกัน ก็เอ่ยปากถามทางกับเค้าอีกรอบ คราวนี้เริ่มมีลางดี เพราะชายหนุ่มคนนี้พูดภาษอังกฤษได้ดีมาก แต่น่าเสียดายที่ภาษาอังกฤษที่ชายคนนี้ตอบออกมาชัดแจ๋วคือ “ผมไม่รู้หรอก เพราะผมไม่ใช่คนที่นี้” ฮ่วย แอบเซ็งอีกรอบในใจ พร้อมถอนหายใจยาวๆ แล้วลองเดินไปข้างหน้า เห็นยามยืนอยู่เลยเดินเข้าไปถามอีก คราวนี้ได้คำตอบมาเป็นเวอร์ชั่นสแปนนิช ความยาวราวหนึ่งหน้ากระดาษเอ สี่ ที่ฟังแล้วไม่ถึงกับเข้าใจร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่พอจะเดาได้ว่า ตึกที่ตามล่าหามันอยู่นี้ มันอยู่ไม่ไกลแล้ว แถวๆนี้แหละ เอ่อ ก่อนหน้านี้ก็ได้รับคำตอบแบบนี้มาสองรอบแล้ว ชักเริ่มกลัวกับคำว่า “ใกล้” ของคนประเทศนี้แล้ว เพราะเดินมาระยะนึงตั้งนาน มันก็ยังใกล้อยู่ ไม่ยอมถึงสักที ลองเดินไปดูชื่อที่ป้ายถนนแล้วก้มดูแผนที่อีกครั้ง ปรากฏว่าเป็นชื่อถนนเดียวกันกับที่อยู่ในกระดาษ ใช่เลย ฉันมาถูกทางแล้วจริงๆ ในที่สุดก็สามารถ ตามหาที่พักของโฮสคนแรกในทริปนี้สำเร็จ
แต่พอเดินมาถึงตึกที่พัก เพิ่งนึกขึ้นได้ว่า โฮส ไม่ได้บอกว่าพักที่ห้องเบอร์อะไรมาในอีเมล์ หายนะละสิกรู เอาไงดี ยืนคิดแก้ปัญหานี้อยู่สักพักอยู่ด้านล่าง โชคดีที่เจ้าหน้าที่ยามเฝ้าตึกคุณลุงหน้าตาใจดีๆ เดินถือเศษกระดาษแผ่นนึงในมือเดินออกมาหาแล้วเรียกชื่อจริงของฉันออกมา” คุณ....ใช่ไหมครับ มาจากไตแลนเดีย ใช่ไหมครับ เยส ฉันอยากจะร้องดังๆ ออกมา พร้อมกับขึ้นสเตตัสในเฟสบุก ว่า “ กรูเจอบ้านโฮสแล้ว ”จริงๆ
ความเหนื่อยล้าจากการเดินตามหาตึกคอนโดสีส้มมลายหายสิ้นไปทันที ฉันพยักหน้าตอบรับกับลุงใจดี “ใช่แล้ว ดิฉันนี้แหละคะ ตัวจริง เสียงจริงจากไตแลนด์เดีย” สักพัก ลุงยามบอกให้รออยู่ด้านล่างแล้วแกก็โทรศัพท์ตามคนลงมา สามนาทีต่อมา ลิฟท์ในตึกก็เปิดออก ชายหนุ่มล่ำสัน ตาคม ไม่สูงมากผมทรงสั้นติดหนังศีรษะเดินออกมาจากลิฟท์ ฉันลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปทักทาย “โอ้ล่า” (สวัสดี ในภาษสแปนนิช) เค้าเดินมาพร้อมชนแก้มด้านซ้ายทีนึงกับฉัน คนนี้แหละ น้องโบ้ โฮสคนแรกประจำทริปนี้ เราทักทายกันเล็กน้อยเสร็จ เค้าก็พาขึ้นไปยังคอนโดของเค้าที่อยู่บนชั้นแปดของตึก
โฮสเหลือบมามองที่กระเป๋าเดินทางของฉันพร้อมกับผงะเล็กน้อย “โฮ้!กระเป๋าท่าทางหนักนะเนี่ย” “ไม่ท่าทางหรอก มันหนักจริงๆเลย”ฉันตอบกลับพร้อมหัวเราะพลางดึงลากกระเป๋าเข้าลิฟท์
ห้องของน้องโบ้เป็นคอนโด หนึ่งห้องนอน หนึ่งห้องนั่งเล่น ที่เชื่อมติดกับครัว ที่มีโต๊ะทานข้าวคั่นตรงกลาง และหนึ่งห้องน้ำ เค้าได้ดัดแปลงโซฟาในห้องนั่งเล่นกางออกมาเป็นเตียงนอนให้ จัดการหาผ้าปูเตียงเสร็จสรรพ ในขณะที่ฉันก็เตรียมพกถุงนอนมาด้วยเช่นกัน เพราะถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นจริงๆของการมาพักบ้านคนแปลกหน้าไปเรื่อยๆ เพราะเราไม่รู้ได้ว่า เค้าจะมีเครื่องนอนให้หรือไม่ แต่ถึงมีให้ ฉันก็รู้สึกดีกว่าถ้าเราได้นอนในถุงนอนส่วนตัวของเราเอง เคยพักกับโฮสคนนึ่งที่ รับsurfer มาพักติดๆกันตลอดแทบทุกอาทิตย์ ฉันสามารถรับรู้ได้เลยว่า ผ้าห่มที่ให้มานั้นแทบไม่มีการซักเลย ก็กลิ่น(นักเดินทาง)มันโชยติดผ้าห่มซะขนาดนั้น
ฉันกางถุงนอนออกแล้วสอดร่างลงเข้าไปข้างในด้วยความอ่อนเพลียจากการเดินทางมาเกือบทั้งวัน แล้วก็เผลอหลับไป สลบไสลราวกับถอดวิญญาณออกจากร่างไปตั้งแต่ หกโมงเย็นไปจนถึงเช้าวันใหม่ของอีกวัน โฮสน้องโบ้ คงเข้าใจว่าฉันเหนื่อยมากเลยปล่อยให้นอนหลับยาวบนโซฟาในห้องนั่งเล่นโดยไม่ปลุกรบกวนแต่อย่างใด
รุ่งขึ้นฉันตื่นมาหลังจากนอนชาร์จแบตในตัวอย่างเต็มที่มาทั้งคืน เริ่มลำดับความคิดว่า ควรจะทำสิ่งใดเป็นสิ่งแรก ยังไม่ทันคิดออก เสียงโหยหวนจากกระเพาะอาหารก็ส่งเสียงร้องเตือนให้รู้ว่าสิ่งที่ต้องทำเป็นอย่างแรกของเช้านี้คือการหาอะไรสักอย่างลงท้อง สมองเริ่มคิดถึงผงซอสปรุงรสอาหารไทยที่เตรียมมาจากกรุงเทพ คิดว่าจะทำอะไรกินดีเป็นมื้อแรก
พอดีกับที่โฮสตื่นเดินออกมาจากห้องนอน “บวยโนส ดิอาส” สวัสดีตอนเช้า ฉันกล่าวทักทายตอบคำ เค้าถามว่าหลับสบายดีไหม เลยรีบตอบว่า “สบายมากๆ 12ชั่วโมงรวด ไม่มีเบรกเลย” “แล้ววันนี้ มีแผนทำอะไรบ้างละ “ เจ้าบ้านชาวเอกวาดอร์ถามต่อ “”ไอยากทำอาหารไทยให้ยูลองทาน สนใจไหม” เจอประโยคชวนเชิญให้ชิมอาหารไทยโดยคนไทย แต่เช้า มีเหรอที่เค้าจะปฏิเสธ “ว้าว! ยูพูด จริงเหรอ ยังไม่เคยมีsurfer คนไหนลงมือทำอาหารให้ไอทานเลย มียูเป็นคนแรกนะเนี่ย” “จริงเหรอ ไอไปพักบ้านไหนก็จะเตรียมเครื่องปรุงอาหารมาจากเมืองไทย ทำให้เจ้าของบ้านกินเกือบทุกคนเลยนะ” อันนี้เ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น